คาร์ออลสไตล์ ครบเครื่อง เรื่องรถ

TESTDRIVE

ลองขับ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี พริ้วไหว แต่หนักแน่นเส้นทางกรุงเทพฯ – กาญจนบุรี พิสูจน์สมรรถนะไฮบริดเจนล่าสุดจากมิตซูบิชิ

Carallstyle มีโอกาสได้ร่วมทดลองขับ มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ผลิตภัณฑ์ล่าสุดจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่ถือกำเนิดจากปราชญา “Mitsubishi Motors-ness หรือดีเอ็นเอของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส โดยหัวใจสำคัญของรถยนต์มิตซูบิชิทุกรุ่นได้รับการพัฒนาเพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ สร้างแรงบันดาลใจในการออกผจญภัย มอบความมั่นใจ และความอุ่นใจทุกเส้นทาง บนพื้นฐานของเทคโนโลยีล้ำสมัย และความน่าเชื่อถือด้านวิศวกรรม เหล่านี้สะท้อนออกมาด้วยความสำเร็จของ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ที่มียอดจองมากกว่า 5,000 คัน ภายใน 3 เดือนหลังจากการเปิดตัว

ไฮไลต์สำคัญในการลองขับ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี คอมแพกต์เอสยูวี ไฮบริดรุ่นล่าสุดจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ด้วยแนวคิด ”Xperience the Force” เป็นครั้งแรกนับว่ามีอะไรที่น่าค้นหาไม่น้อย และยิ่งขับก็ยิ่งสัมผัสถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน ตลอดเส้นทางท้าทายจากนครหลวง กทม. ถึง เขื่อนศรีนครรินทร์ อำเภอท่ากระดาน จังหวัดกาญจนบุรี เราได้เจอกับหลากหลายรูปแบบถนน ตั้งแต่ท่ามกลางสภาพการจราจรติดขัดยามเช้า กระทั่งถึงเส้นทางระหว่าเมืองที่รายล้อมไปด้วยรถบรรทุกน้อยใหญ่ พื้นผิวเส้นทางราดยาง หรือคอนกรีตเสริมเหล็ก ระบบต่างๆ ของเอ็กซ์ฟอร์ส ให้การตอบสนองที่น่าพอใจ ตั้งแต่ระบบบังคับเลี้ยว น้ำหนักพวงมาลัยไฟฟ้าที่เซ็ทไว้พอเหมาะ (ออกจะเบาด้วยซ้ำสำหรับผู้ชายสายบู้ แต่สำหรับคุณหนูตะมูตะมิน่าจะพอใจ) ช่วงล่างนุ่มนวลแต่หนึบแน่น ซึ่งส่วนหนึ่งต้องยกความชอบให้กับล้อยางขนาด 225/50R18 แถมยังได้ยางแบบนุ่มเงียบอีกต่างหาก เมื่อประกอบกับดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ผสานสมรรถนะการขับขี่ พร้อมความสะดวกสบายช่วยให้เราเข้าถึงประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจได้ง่ายและสบายใจขึ้น

มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ยังมาพร้อมกับแนวคิด MITSUBISHI e:MOTION ซึ่งได้แก่ ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control – AYC) และแน่นอนรถยนต์รุ่นนี้ จะมีส่วนผลักดันพร้อมทั้งเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มยานยนต์ไฮบริดของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในระดับภูมิภาคอีกด้วย

แนวคิดการออกแบบใหม่ เรียบหรู แต่ทรงพลัง

เราสัมผัสได้ถึงทิศทางใหม่ในการออกแบบยานยนต์ของมิตซูบิชิ  “ซิลก์กี แอนด์ โซลิด (Silky & Solid)” ขอแปลความตามแนวทางการสื่อสารของมิตซูบิชิ ประเทศไทยว่า พริ้วไหว และหนักแน่น ซึ่งถูกนำมาปรับใช้กับ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ผสานสไตล์ที่โดดเด่นเข้ากับความทรงพลัง สะท้อนผ่านรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวดึงดูดทุกสายตาผู้พบเห็น ด้วยพื้นผิวที่ดูเรียบเนียนบนตัวรถ สอดรับกับสัญลักษณ์ทรีไดมอนด์ด้านหน้า พร้อมเส้นสายเสมือนมีมัดกล้ามดูไดนามิคจากด้านข้างไปถึงด้านท้ายรถ และหลังคาแบบลอยตัว (Floating Roof) ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย

ด้วยเอกลักษณ์ “ไดนามิคชิลด์” เวอร์ชัน 3 มิติ สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับการดีไซน์ตั้งแต่กระจังหน้าออกแบบให้ปกป้องและกลมกลืนไปกับกันชนหน้าซ้ายและขวา สร้างมิติของความลึก พร้อมเส้นสายที่แสดงถึงความโฉบเฉี่ยวและแข็งแกร่ง ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้าย LED สี Smoke เป็นจุดสร้างความจดจำของเอ็กซ์ฟอร์ส และน่าจะส่งต่อไปถึงรถยนต์มิตซูบิชิรุุ่นอื่นๆ จนถึงระดับไอคอนนิค ด้วยการจัดเรียงเป็นรูปตัวที เสริมให้เห็นถึงความกว้างและความรู้สึกมั่นคงของตัวรถ สอดรับกับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ที่ดีไซน์โดยคำนึงถึงแอโรไดนามิค ให้สัดส่วนลงตัวกับระยะต่ำสุดถึงพื้น หรือ Ground Clearance ที่ 183 มิลลิเมตร เสริมด้วยซุ้มล้อที่เลือกใช้วัสดุและสีที่ตัดกับสีตัวรถ ทำให้ มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี มีบุคลิกของรถเอสยูวีอย่างชัดเจน อีกอย่างที่ช่วยให้ เอ็กซ์ฟอร์ส น่าสนใจคือสีสันที่มีให้เลือกทั้งแบบทูโทน และโมโนโทน ถึง 8 สี

ดีไซน์การออกแบบภายใน

ห้องโดยสารตอบโจทย์การใช้งาน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Horizontal Axis” ทำมีทัศนวิสัยที่แจ่มชัดทุกสภาพเส้นทาง ทั้งยังใช้สีเข้มทูโทน Mélange – Mocha พร้อมตกแต่งแผงแดชบอร์ดด้วยผ้าสีเท้าแบบพิเศษกันน้ำและคราบสิ่งสกปรก มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่จะช่วยสร้างสุนทรียภาพระหว่างการเดินทางครบครัน พื้นที่ห้องโดยสารซ้อนรูปมองจากด้านนอกรถเหมือนจะเล็กแต่เข้ามาภายในนั้นไม่ด้อยกว่า SUV ระดับเดียวกัน พื้นที่เหนือศีรษะ พื้นที่ระหว่างหัวไหล่ และพื้นที่วางขาที่สบายมากพอ ทำให้สามารถเดินทางได้พร้อมกัน 5 คนโดยไม่รู้สึกอึดอัด เบาะนั่งตอนหลังสามารถพับปรับแยก 40:20:40 และที่สำคัญคือยังปรับเอนได้ถึง 8 ระดับ พร้อมด้วยวัสดุหุ้มเบาะ “Heat Guard” ที่ช่วยสะท้อนความร้อนจากแสงแดดยามเมื่อต้องจอดรถกลางแจ้งได้อีกด้วย

ยกระดับความสะดวกสบายในทุกประสาทสัมผัส

ในรุ่นท๊อปที่เราได้ลองขับยังติดตั้ง ไดนามิค ซาวด์ ยามาฮ่า พรีเมียม ซาวด์ ซิสเต็ม (Dynamic Sound Yamaha Premium Sound System) ระบบเสียงคุณภาพที่ถูกติดตั้งไว้ใน มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี พร้อมกระจายเสียงผ่านลำโพงทั้งหมด 8 ตัว ทวิตเตอร์คู่หน้าที่ถูกติดตั้งบริเวณเสาหลังคาคู่แรก (A-Pillar) ลำโพงวูฟเฟอร์ที่ติดตั้งบริเวณแผงประตูคู่หน้า และลำโพงโคแอกเซียล (Coaxial) แบบ 2 ทาง ที่ประตูคู่หลัง ให้คุณภาพเสียงที่คมชัดอย่างมีมิติ เฉกเช่นการฟังเครื่องดนตรีแบบแยกชิ้น อีกทั้งยังสามารถเลือกรูปแบบเสียงได้ 4 รูปแบบ ตามรสนิยมและอารมณ์ในการฟังดนตรี เพื่อเพิ่มสุนทรียภาพที่ล้ำลึกยิ่งขึ้น

หน้าจอกลางระบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว พร้อม Smartphone-link Display Audio (SDA) ต่อเนื่องกับหน้าจอแสดงผลในการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว แบบมัลติวิดเจ็ต (Multi-widget) จอแบ่งออกเป็น 3 ส่วนเพื่อแสดงข้อมูลต่าง ๆ พร้อมกันบนหน้าจอเดียว อีกทั้งยังสามารถแสดงผลชุดมาตรวัดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมาตรวัดสามช่องในรถระดับตำนานอย่าง มิตซูบิชิ ปาเจโร โดยแสดงข้อมูลสำคัญ เช่น ระดับความสูง มุมเอียง และทิศทาง เพื่อเพิ่มความเร้าใจในการขับขี่ นอกจากนี้ ยังรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และ WebLink เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ทำให้สามารถเพลิดเพลินกับแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้บนหน้าจอขนาดใหญ่

มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ยังมาพร้อระบบฟอกอากาศ nanoe™ X ที่จะช่วยสร้างอากาศบริสุทธิ์ และยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการเหนื่อยล้า สร้างความสดชื่นให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตลอดการเดินทาง ยามค่ำคืนคุณสามารถผ่อนคลายด้วยไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร (Ambient Light) ที่ปรับได้มากกถึง 64 เฉดสี บริเวณคอนโซลหน้าและแผงบุประตูคู่หน้า

ดูแลความปลอดภัยปกป้องรอบทิศทาง

ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยที่รวมเรียกว่า มิตซูบิชิ ไดมอนด์ เซ้นส์ (Diamond Sense) เทคโนโลยีความปลอดภัยครอบคลุม 360 องศา โดยใช้การตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบตัวรถด้วยกล้อง รวมถึงเซนเซอร์ และเรดาห์ที่แม่นยำ โดยจะทำงานและมีสัญญาณเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบเมื่อเกิดสภาวะฉุกเฉินหรือต้องระมัดระวัง ได้แก่

  • MAM with Moving Object Detection: กล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นกะระยะ ทำงานผ่านกล้อง 4 ตำแหน่งแสดงภาพสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ พร้อมระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว
  • LCDN: ระบบเตือนเมื่อรถด้านหน้าออกตัวหรือเคลื่อนที่ไปด้านหน้า ระบบจะทำการแจ้งเตือนบนหน้าจอแสดงผลแบบ LCD กรณีรถหยุดนิ่ง และมีการเคลื่อนตัวของรถคันหน้า
  • BSW with LCA: ระบบเตือนจุดอับสายตา และระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน
  • FCM: ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ป้องกันความเสี่ยงที่จะชนรถคันหน้า และสบายใจกว่าด้วยการลดความเร็วเพื่อบรรเทาความเสียหายจากการชน
  • ACC: ระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติถึงจุดหยุดนิ่ง ระบบจะสามารถล็อคความเร็วตามที่กำหนด และรักษาความเร็วให้คงที่ตามรถคันหน้า ตลอดจนช่วยเบรกจนถึงความเร็ว 0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพิ่มความสะดวกสบาย และปลอดภัยยิ่งขึ้นเมื่อต้องขับขี่ทางไกล
  • AHB: ระบบควบคุมไฟสูงโดยอัตโนมัติ สะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น
  • RCTA: ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด ระบบจะส่งสัญญาณเตือน เมื่อพบว่ามีวัตถุเคลื่อนไหวด้านหลังรถ ขณะกำลังถอยรถออกจากช่องจอด

นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยแบบ Passive safety ด้วยการติดตั้งถุงลม 6 ตำแหน่ง มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในห้องโดยสารด้วย

MITSUBISHI e:MOTION

หัวใจสำคัญของ มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี คือ MITSUBISHI e:MOTION ประสบการณ์การขับขี่จากการผสาน 3 เทคโนโลยีล้ำหน้า ได้แก่ ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดเจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (AYC)

ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดเจนเนอเรชันใหม่ ได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) อันโดดเด่นของ มิตซูบิชิ เอาท์เลนเดอร์ และยังพัฒนาต่อยอดจากรถยนต์ฟูลไฮบริดรุ่นแรกอย่าง เอ็กซ์แพนเดอร์ จึงให้ประสิทธิภาพการส่งกำลังที่ดียิ่งขึ้น ให้การขับขี่ทรงพลังและนุ่มนวลขึ้นในหลากหลายรูปแบบเส้นทาง อีกทั้งยังเพิ่มกลไกตัดการเชื่อมต่อของมอเตอร์ซึ่งมีส่วนลดการสูญเสียพลังงานได้มาก ประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้รถมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 24.4 กิโลเมตร/ลิตร* ขยายความคือรถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมระบบส่งกำลัง 2-Speed Transaxle โดยการขับเคลื่อนในแบบไฮบริดจะให้ความเงียบ และมีอัตราเร่งที่จัดจ้านทั้งในการขับขี่บนถนนไฮเวย์ และในเส้นทางขึ้นลงพื้นที่เนินลาดชันต่อเนื่องจากที่ได้ลองขับในสภาพภูมิประเทศที่หลากหลาย นอกจากนี้ มอเตอร์ไฟฟ้า เจเนอเรเตอร์ และระบบส่งกำลัง ยังออกแบบให้ทำงานผสานกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้มีการทำงานที่เงียบลดเสียงรบกวนอย่างดีให้ประสบการณ์การขับขี่เสมือนรถไฟฟ้าโดยเฉพาะในจังหวะที่ใช้โหมด EV

ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดรุ่นล่าสุดมีทั้งการขับขี่แบบ EV DRIVE การแบบ HYBRID-SERIES แบบ HYBRID-PARALLEL และแบบ HYBRID–MOTOR DISCONNECTED รวมถึงการขับขี่แบบ POWER REGENERATIVE โดยระบบจะปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่โดยอัตโนมัติตามสภาพการขับขี่และปริมาณพลังงานที่เหลืออยู่ในแบตเตอรี่ เพื่อให้ได้ทั้งประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงและการขับขี่ที่มีพลังเร้าใจด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยตัวอย่างคราวๆ การทำงานของชุดขับเคลื่อนคือ

  • ขณะออกตัว ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 100% เงียบและใช้พลังงานสะอาด ปราศจากการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซ CO2
  • ขณะเร่งความเร็วหรือขับด้วยความเร็วปานกลาง ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยเครื่องยนต์จะทำงานเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกำลังในการขับเคลื่อน ซึ่งจะตัดสลับกับ EV DRIVE เมื่อพลังงานในแบตเตอรี่เพียงพอ
  • ขณะขึ้นทางชัน หรือขึ้นเขา เมื่อต้องการพละกำลังในการขึ้นทางชันหรือขึ้นเขา ระบบจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ในอัตราทด LOW (เช่นเดียวกับเกียร์ต่ำ) เพื่อเพิ่มพละกำลัง และประสิทธิภาพการจัดการพลังงานในแบตเตอรี่ให้ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันเครื่องยนต์ยังคงสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง และจะตัดสลับกับ HYBRID-SERIES ตามความเหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนและประหยัดน้ำมัน
  • ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงหรือคงที่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ในอัตราทด HIGH (เช่นเดียวกับเกียร์สูง) และเมื่อขับที่ความเร็วคงที่จะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เป็นหลัก และตัดภาระการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าออก เพื่อลดภาระในการทำงานของเครื่องยนต์ อีกทั้งเจเนอเรเตอร์ยังช่วยในการขับเคลื่อน ทำให้ประหยัดน้ำมันได้ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันเครื่องยนต์ยังคงสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง และจะตัดสลับกับ HYBRID-SERIES หรือ EV DRIVE ตามความเหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนและประหยัดพลังงาน
  • ขณะลดความเร็วหรือลงทางชันระบบจะเปลี่ยนพลังงานจากการชะลอความเร็วหรือเบรกเป็นพลังงานไฟฟ้าและนำกระแสไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่

 

ระบบ HEV นี้นอกจากจะช่วยให้สามารถขับขี่ได้เงียบ สะอาดแบบรถ EV และยังรองรับการเดินทางระยะไกลโดยไม่ต้องกังวลเรื่องพลังงานแบตเตอรี่หมดอีกด้วย ช่วงขากลับกรุงเทพฯ จากตัวเมืองกาญจน์ ปริมณฑล ระยะประมาณ 108 กิโลเมตร เรามีโอกาสได้แข่งขันกันขับประหยัด เริ่มจากน้ำมันเต็มถัง 42 ลิตร ขับผ่าการจราจรช่วงบ่ายถึงเย็น ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงที่หมายเติมน้ำมันเบนซินกลับไป 29.68 ลิตร เต็มถังเหมือนเดิม ซึ่งเมื่อคำนวณออกมาจะได้อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ประมาณ 36 กิโลเมตรต่อลิตร ( ย้ำว่าแข่งขัน ) แต่ก็สามารถสะท้อนถึงอัตราสิ้นเปลืองเมื่อใช้ในชีวิตประจำวันได้ว่าผ่าน 20 กิโลเมตรต่อลิตรแบบสบายๆ ซึ่งถือว่าประหยัดมากในฐานะของรถอเนกประสงค์ ไฮบริด

ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ซ เอชอีวี มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษสำหรับรถยนต์ไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.6 ลิตร MIVEC DOHC 16 วาล์ว ซึ่งใช้งานครั้งแรกในเอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี พร้อมทั้งกำลังขับเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งปั๊มน้ำไฟฟ้าเพื่อลดการสูญเสียพลังงานจากระบบขับเคลื่อนเสริม (Auxiliary Drive Loss) ส่งผลให้ประสิทธิภาพเชิงความร้อนของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นมากกว่า 40% ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้ดียิ่งขึ้น เมื่อทำงานร่วมกับเจเนอเรเตอร์และมอเตอร์ที่มีกำลังสูงสุด 85 กิโลวัตต์ มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี จึงสามารถอัตราเร่งที่ราบรื่น และตอบสนองฉับไว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์พลังงานใหม่

โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ

อีกหนึ่งเทคโนโลยีสำคัญที่ทำให้ Mitsubishi e:MOTION มอบประสบการณ์การขับขี่ที่โดดเด่น คือโหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจในทุกสภาพอากาศและสภาพเส้นทาง

โดยแบ่งเป็นโหมดการขับขี่แบบรถไฟฟ้า 2 รูปแบบ และโหมดการขับขี่อีก 5 รูปแบบสภาพเส้นทาง ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัสผ่านสวิตซ์ที่คอนโซลกลาง โดยระบบจะควบคุมการตอบสนองของเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า พวงมาลัย และเบรกจะทำงานร่วมกันเพื่อให้การขับขี่ปลอดภัยบนสภาพถนนที่หลากหลายซึ่งเหมาะกับสภาพถนนในประเทศไทยและสถานที่อื่น ๆ

โหมด EV Priority และโหมด Charge ช่วยให้ผู้ขับขี่เลือกขับขี่ในโหมด EV ตามสถานการณ์ได้

  • EV Priority Mode ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์โดยไม่ต้องสตาร์ตเครื่องยนต์ โหมดนี้มีความเงียบและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องเสียงรบกวนเมื่อต้องขับขี่ในบริเวณที่ต้องการความสงบ
  • Charge Mode ใช้กำลังเครื่องยนต์ชาร์จแบตเตอรี่เมื่อพลังงานเหลือน้อยในขณะขับ หรือจอดรอได้ เพื่อให้สามารถใช้โหมด EV ได้นานขึ้นในสถานการณ์ที่ต้องการ

 

5 โหมดการขับขี่อื่นๆ ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมรถตามสภาพถนน ด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหน้าพร้อมเทคโนโลยีควบคุมต่างๆ ได้แก่

  • Active Yaw Control (AYC): ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง ควบคุมแรงขับ และแรงเบรกของล้อหน้าแต่ละข้างเพื่อเพิ่มการทรงตัวและการควบคุมให้ปลอดภัยและมั่นใจยิ่งขึ้น
  • Traction Control System (TCL): ระบบป้องกันการลื่นไถล ป้องกันล้อหมุนฟรี
  • Active Stability Control (ASC): ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว
  • Electric Power Steering: พวงมาลัยไฟฟ้า ปรับน้ำหนักตามความเร็วและสภาพถนน

 

ทั้ง 5 โหมดการขับขี่ ช่วยให้สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยในทุกสภาพอากาศและถนน

  • Normal Mode: เหมาะกับการขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
  • Tarmac Mode: สำหรับถนนลาดยาง เพิ่มความว่องไวและการควบคุมที่แม่นยำบนถนนคดเคี้ยว ให้พละกำลังเช่นเดียวกับ Sport Mode
  • Gravel Mode: สำหรับถนนลูกรัง ลดอาการลื่นไถลและเพิ่มความมั่นคงบนถนนลูกรัง
  • Mud Mode: สำหรับถนนโคลน ให้การยึดเกาะที่ดีขึ้นแม้ในสภาพถนนที่เป็นโคลนและขรุขระ
  • Wet Mode: สำหรับถนนเปียกลื่นลดการลื่นไถลของยางและเพิ่มเสถียรภาพแม้ในสภาพฝนตกหนัก

 

จอแสดงผลการขับขี่ LCD ขนาด 8 นิ้ว สามารถเลือกแสดงข้อมูลเฉพาะสำหรับระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดอย่างชัดเจน เช่น ระดับพลังงาน แสดงสถานะ Eco, Power และ Charge สอดคล้องกับการควบคุมคันเร่ง การไหลเวียนของพลังงาน อัตราส่วนการขับขี่ด้วยไฟฟ้า และระดับพลังงานที่เหลือในแบตเตอรี่ และสามารถปรับเปลี่ยนหน้าจอได้ 2 รูปแบบ  สรุปว่า ออล – นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี เป็นรถอเนกสปอร์ตไฮบริด ที่ได้รับการพัฒนารอบด้านทั้งดีไซน์ภายนอก ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ระบบความปลอดภัย และสำคัญที่สุดคือระบบไฮบริดที่ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพในการขับขี่ยิ่งขึ้น สามารถแข่งขันกับรถยนต์ไฮบริด รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า ประเภทและระดับราคาใกล้เคียงกันที่ทำตลาดอยู่ในประเทศไทยได้โดยเชื่อว่าจะทำให้ลูกค้ามิตซูบิชิมีความสุขใจกับการใช้งานได้ตลอดระยะเวลาการครอบครอง 

 

ตารางข้อมูลเทคนิค SPECIFICATION

 

มิติตัวรถ

 

 

 

ความยาวตลอดคัน

มม.

4,390

 

ความกว้างตลอดคัน

มม.

1,810

 

ความสูง

มม.

1,650

 

ระยะฐานล้อ

มม.

2,650

 

ความกว้างช่วงล้อหน้า

มม.

1,565

 

ความกว้างช่วงล้อหลัง

มม.

1,565

 

ระยะต่ำสุดถึงพื้น

มม.

183

 

รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด

ม.

5.2

 

เครื่องยนต์

 

 

 

รหัสเครื่องยนต์

 

4A92

 

แบบเครื่องยนต์

 

4 สูบ MIVEC DOHC 16 วาล์ว

 

ปริมาตรกระบอกสูบ

ซีซี

1,590

 

ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก

มม.

75.0 x 90.0

 

อัตราส่วนกำลังอัด

 

14 : 1

 

กำลังสูงสุด

กิโลวัตต์ (แรงม้า) / รอบต่อนาที

79 (107) / 6,000

 

แรงบิดสูงสุด

  นิวตันเมตร / รอบต่อนาที

134 / 4,500

 

ระบบเชื้อเพลิง

 

 

 

ชนิด

 

หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์

ECI-MULTI 32 Bit

 

ชนิดน้ำมันแนะนำ

 

 แก็สโซฮอล์ E20

 

ความจุถังน้ำมัน

ลิตร

42

 

มอเตอร์ไฟฟ้า

 

 

 

กำลังสูงสุด

กิโลวัตต์ (แรงม้า)

85 (116)

 

แรงบิดสูงสุด

  นิวตันเมตร

255

 

แบตเตอรี่ไฮบริด

 

  

ชนิดแบตเตอรี่

 

Lithium-ion

 

ระบบส่งกำลัง

 

 

 

ชนิด

 

2-Speed Transaxle

 

อัตราทดระบบส่งกำลัง

 

High 3.384, Low 4.588

 

อัตราทดเครื่องยนต์

 

2.107

 

อัตราทดมอเตอร์ไฟฟ้า

 

9.215

 

ระบบบังคับเลี้ยว

 

 

 

แบบ

 

แร็คแอนด์พิเนียน พร้อมระบบเพาเวอร์ควบคุมด้วยไฟฟ้า

 

ระบบกันสะเทือน

 

 

 

หน้า

 

แบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง และ เหล็กค้ำหัวโช้ค

 

หลัง

 

ทอร์ชันบีม

 

ระบบเบรก

 

 

 

หน้า

 

ดิสก์เบรก แบบมีช่องระบายความร้อน

 

หลัง

 

ดิสก์เบรก

 

ล้อและยาง

 

 

 

ขนาดล้ออัลลอย

 

18″ x 7.0J แบบทูโทน

 

ขนาดยาง

 

225/50 R18

 

 

ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่

รุ่น Ignite ราคา 899,000 บาท
มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาวมุก (White Diamond) สีเงิน (Blade Silver) และสีเทา (Graphite Grey)

รุ่น Ultimate ราคา 1,039,000 บาท

มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาวมุก (White Diamond) หลังคาดำ สีเงิน (Blade Silver) สีเทา (Graphite Gray) และสีดำ (Jet Black Mica)

รุ่น Ultimate X ราคา 1,089,000 บาท

มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีขาวมุก (White Diamond) หลังคาดำ สีเทา (Graphite Gray) หลังคาดำ สีเหลือง (Energetic Yellow) หลังคาดำ สีแดง (Spirit Red) หลังคาดำ และสีดำ (Jet Black Mica)

รวมข่าวในหมวดเดียวกัน

ทดสอบสมรรถนะ “ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่” พิสูจน์ความคุ้มค่าน่าใช้ของซิตี้คาร์ 5 ประตูสุดฮอต! แรงเกินคลาส ประหยัดน้ำมันเกินคุ้ม มั่นใจด้วย Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย ตลอดเส้นทางกรุงเทพฯ – พัทยา

Read More »