โตโยต้า โคโรลล่า ครอส หนึ่งในรถยนต์อเนกประสงค์ SUV ยอดนิยม ที่ได้รับการปรับปรุงล่าสุดเมื่อช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา ด้วยการนำเสนอประสบการณ์การขับเคลื่อนที่มาพร้อมเทคโนโลยีและฟังก์ชันอำนวยความสะดวกสบาย โดยมุ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตหลากหลายรูปแบบด้วย “โคโรลล่า ครอส ปรับปรุงใหม่”

โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ SUV รุ่น “โคโรลล่า ครอส” ครั้งแรกของโลกที่ประเทศไทย เมื่อพ.ศ. 2563 โดยเป็นรถที่ได้รับการออกแบบภายนอกให้ดูโฉบเฉี่ยว และยังมีความแข็งแกร่ง ภายในห้องโดยสารมีจุดเด่นด้วยพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางเพื่อความสะดวกสบาย พร้อมพื้นที่จัดเก็บสัมภาระที่ปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย ซึ่งนับตั้งแต่เปิดตัวโคโรลล่า ครอส ถือเป็นรถรุ่นที่ประสบความสำเร็จ โดยได้รับความนิยมจากผู้ใช้รถชาวไทยเป็นอย่างดีเสมอมา ด้วยยอดขายสะสมหลักแสนคัน

สำหรับโคโรลล่า ครอสใหม่ มีการปรับปรุงในทุกรุ่นย่อยโดยแบ่งการทำตลาดเป็น 4 เกรด โดยตัวท๊อปเน้นความสปอร์ตเร้าใจเป็นรุ่น HEV GR-Sport ตัวรองท๊อปเน้นความหรูหราสะดวกสบายเป็นรุ่น HEV Premium Luxury ส่วนรุ่นที่เรานำมาลองขับคราวนี้เป็นรุ่นยอดนิยม HEV Premium และยังมีตัวเริ่มต้นเครื่องยนต์เบนซินล้วนๆ รุ่น 1.8 Sport Plus ให้ได้เลือกใช้อีกด้วย ทั้งหมดก็เพื่อมอบประสบการณ์ในการขับเคลื่อนที่ร่วมสมัยยิ่งขึ้น

โดยการปรับดีไซน์ใหม่ครั้งนี้เป็นการเปิดตัวที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกในโลกเช่นกัน ด้วยกระจังหน้าแบบ “Multi-Dimensional Design” ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp และ ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ Sequential และในรุ่น HEV Premium Luxury โดดเด่นด้วยหลังคา Panoramic Roof แบบ Frameless พร้อมม่านบังแดดปรับด้วยไฟฟ้า และแม้แต่รุ่นรองลงมายังมาพร้อมระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาอิสระ ทั้งยังมาพร้อมกับการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย หน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และช่องต่อ USB แบบ type C

โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM และช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA, ระบบช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ Parking Support Brake, ระบบแจ้งเตือนเมื่อลมยางผิดปกติ Tire Pressure Monitoring System, กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM) 360° View, สัญญาณเตือนกะระยะ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง, กล้องวิดีโอบันทึกภาพติดรถยนต์ รวมทั้ง ระบบเบรกมือไฟฟ้า Electronic Parking Brake และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ Auto Brake Hold  อีกด้วย

จากทิศทางการดำเนินธุกิจของโตโยต้าในช่วงเวลานี้ เราจะเห็นการขับเคลื่อนเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ซึ่งเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า และยานยนต์ไฟฟ้า BEV ล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ โดยโตโยต้ายังคงมุ่งเดินหน้าตามกลยุทธ์ในการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ “Multiple Pathway” โดยพิจารณาจากปัจจัยทั้งความหลากหลายของผู้ใช้รถ ลักษณะการใช้งาน ข้อจำกัดในแต่ละภูมิประเทศ อาทิ โครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน สภาพถนน ข้อจำกัดทางด้านพลังงาน เป็นต้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง โตโยต้ามีความต้องการที่จะมุ่งเติมเต็มชีวิตของผู้คน และนำมาซึ่งรอยยิ้มของลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น โดยดำเนินงานผ่านกลยุทธ์ Multiple Pathway ตามปรัชญา “Mobility for All” โดยที่จะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (No One leaves behind)

โดยในปีที่ผ่านมาส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV ในประเทศไทยได้เติบโตแบบก้าวกระโดด  อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฮบริด HEV ก็เติบโตขึ้นอย่างชัดเจนและโดดเด่นเช่นกัน ทั้งยังกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของลูกค้าชาวไทย สำหรับประเภทรถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานผสมผสาน ด้วยเหตุผลที่สามารถใช้งานได้จริงจังอย่างเหมาะสม มีความอุ่นใจขณะใช้งาน และมีค่าบำรุงรักษาต่ำ รวมไปถึงมีมูลค่าในการขายต่อที่ดี โดยในปีที่แล้ว ส่วนแบ่งตลาดของรถไฮบริดอยู่ที่มากกว่า 12% และในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 17%