ต้นเดือน เมษายน 2567 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ชวนเพื่อนๆ สื่อมวลชน ร่วมสัมผัสประสบการณ์การขับขี่โดยเน้นไปที่ความเร้าใจจากขุมพลังฟูลไฮบริดของ Mitsubishi Xpander HEV และ New Mitsubishi Xpander Cross HEV ตลอดเส้นทาง กรุงเทพฯ บางแสน ชลบุรี แบบ One-day trip ซึ่งใครๆ ก็เที่ยวได้แบบนี้เหมือนกันจึงเสมือนการใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยรถอเนกประสงค์ 3 แถว 7 ที่นั่ง รูปทรงดุดัน แฝงไว้ด้วยความประณีตของชิ้นงานภายในห้องโดยสาร และครั้งนี้เราจะได้พิสูจน์สมรรถนะของชุดขับเคลื่อนใหม่ในรูปแบบผสมผสานเชื้อเพลิงกับพลังไฟฟ้าที่เรารู้จักกันมาบ้างแล้วพอสมควร ทว่าก็ยังมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับเทคโนโลยี และนวัตกรรมของแต่ละค่าย ที่สำคัญคือการเลือกใช้อย่างเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของตัวเองในราคาที่ทำให้ผู้ใช้เราเข้าถึงได้
หลังจากที่ผมมีโอกาสได้ลองขับรถอเนกประสงค์รุ่นนี้มาบ้างก่อนการเปิดตัว ในรุ่นแบบของการขับเพื่อเค้นสมรรถนะในพื้นที่ปิดที่จำลองสภาพพื้นผิวทางวิ่งต่างๆ เพื่อให้เราได้สัมผัสกับโหมดการขับขี่ต่างๆ ทั้ง ทางราดยาง ทางเปียก ทางดิน และทางโคน และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและรักษาสมดุลขณะเข้าโค้งที่มิตซูบิชิเรียกว่า AYC : Active Yaw Control ซึ่งล้วนเป็นเทคโนโลยีสนับสนุนความปลอดภัยในการขับขี่ที่มิตซูบิชิติดตั้งมากับเอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และเอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี
1 กุมภาพันธ์ 2567 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) เปิดตัวรถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ครั้งแรกของโลกที่ประเทศไทย และยังเป็นของรถยนต์ครอบครัว 7 ที่นั่งขนาดเล็กรุ่นแรกที่มาพร้อมกับขุมพลังไฮบริด ซึ่งผสานการทำงานระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ไว้ด้วยกัน พร้อมเทคโนโลยีของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ให้การขับขี่ในแบบ Mitsubishi e:MOTION โดยรถยนต์ทั้งสองรุ่นนี้ผลิตขึ้นในไทย โดย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่โรงงานผลิตรถยนต์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง
เอ็กซ์แพนเดอร์ ผสานความสะดวกสบายและความอเนกประสงค์ในการใช้งานแบบรถครอบครัว 7 ที่นั่ง เข้ากับรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวสะดุดตา รถรุ่นนี้เปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี 2560 ก่อนที่จะขยายตลาดสู่ภูมิภาคอาเซียน ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และตลาดอื่นๆ ขณะที่เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เปิดตัวตามมาหลังจากนั้น 2 ปี ทั้งนี้ เฉพาะในประเทศไทยรถยนต์ตระกูลเอ็กซ์แพนเดอร์ มียอดขายสะสมรวมทั้งสิ้นสูงกว่า 64,000 คัน นับตั้งแต่เปิดตัวขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2561
มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ใหม่ ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนไฮบริดทั้งสองรุ่นนี้ ได้ผสานระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าและเทคโนโลยีระบบควบคุมการขับเคลื่อน อันเป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เข้าไว้ด้วยกัน โดยระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดใน เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และเอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี พัฒนาขึ้นใหม่ด้วยการต่อยอดจากระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) เพื่อมอบสุนทรียภาพแห่งการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมพร้อมความตื่นเต้นเร้าใจ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) ที่ทำงานสอดผสานอย่างลงตัวกับเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ เพื่อมอบความปลอดภัยและความมั่นใจในการขับขี่ พร้อมด้วยโหมดการขับขี่ที่หลากหลาย ซึ่งช่วยเสริมสมรรถนะการขับขี่ และช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างคล่องตัวบนสภาพถนนและสภาพอากาศที่แตกต่าง ทั้งนี้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่เป็น EV Priority ได้ตามต้องการ เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ อาทิ ต้องการเดินทางอย่างเงียบสงบ หรือเคลื่อนตัวได้โดยไม่สร้างเสียงรบกวนในหมู่บ้านยามเช้าตรู่บนระยะทางสัก 2-3 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับปริมาณไฟที่มีอยู่ในแบตเตอรี่
ไฮไลท์สำคัญ: Mitsubishi e:MOTION
Mitsubishi e:MOTION ผสานการทำงานของ 3 เทคโนโลยีจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้แก่
- ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด (HEV System) มอบการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และน่าตื่นเต้นเร้าใจ ให้ความคล่องตัว ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจากระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ซึ่งได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs)
- โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ ได้ตามต้องการ เสริมความปลอดภัยมั่นใจได้ทุกเส้นทาง
- ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส มอบการขับขี่ที่ปลอดภัยและมั่นใจ ช่วยควบคุมรถได้อย่างคล่องตัวโดยเฉพาะขณะเข้าโค้ง
ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด เอชอีวี ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ประกอบด้วยรูปแบบการขับขี่แบบ EV (พลังงานไฟฟ้า 100%) รูปแบบการขับขี่แบบไฮบริด และระบบชาร์จไฟกลับขณะเบรกหรือ Regenerative Braking พร้อมมอบความสนุกจากการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งสามารถปรับเข้าสู่รูปแบบการขับขี่ที่ให้ประสิทธิภาพสูงได้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์การขับขี่ และพลังงานคงเหลือในแบตเตอรี่ในขณะนั้น
เมื่อเริ่มออกตัว และขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว เป็นรูปแบบการขับขี่แบบ EV (พลังงานไฟฟ้า 100%) ทำให้สามารถขับขี่ด้วยด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ จากนั้น ในขณะที่ขับรถขึ้นเนินที่ลาดชันหรือในขณะที่เร่งความเร็ว ระบบจะทำการปรับเปลี่ยนสู่รูปแบบการขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดผสาผสาน โดยใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ได้รับการปั่นไฟฟ้าจากเครื่องยนต์และเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริมกำลังขับเคลื่อน เนื่องจากเครื่องยนต์เริ่มทำงานอย่างนุ่มนวล สะดวกสบายแม้ในรูปแบบการขับขี่แบบไฮบริด ขณะที่เมื่อชะลอความเร็ว ตัวรถจะเข้าสู่รูปแบบ Regenerative Braking ซึ่งเป็นระบบชาร์จไฟกลับขณะชะลอความเร็วหรือเบรก จึงสามารถสร้างพลังงานไฟฟ้าเพื่อเก็บสำรองพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ ทั้งนี้ ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดจึงมอบการขับขี่ที่เงียบและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในแบบของรถยนต์ไฟฟ้าโดยไม่ต้องพึ่งน้ำมันเชื้อเพลิง และปราศจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไปพร้อมๆ กับการมอบการขับขี่ที่สะดวกสบายในแบบของรถยนต์ระบบขับเคลื่อนไฮบริด ที่ผู้ขับขี่สามารถเพลิดเพลินไปกับการขับขี่ทางไกล โดยไม่ต้องกังวลถึงพลังงานในแบตเตอรี่
ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด มอบอัตราเร่งที่ทรงพลัง ไหลลื่นไม่มีสะดุด ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 85 กิโลวัตต์ พร้อมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าผสานการทำงานกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.6 ลิตร MIVEC โดยมีแบตเตอรี่ขับเคลื่อนที่ได้รับการพัฒนาสำหรับรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 116 แรงม้าและแบตเตอรี่ตอบสนองด้วยแรงบิด 255 นิวตันเมตรได้อย่างรวดเร็วเมื่อออกตัว และให้อัตราเร่งที่ทันใจเมื่อกดคันเร่ง
เครื่องยนต์เบนซินบล๊อคใหม่ขนาด 1.6 ลิตร DOHC MIVEC 16 วาล์ว Atkinson ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตร มีประสิทธิภาพการเผาไหม้พร้อมด้วยการติดตั้งปั๊มน้ำไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในเครื่องยนต์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส พร้อมคอมเพรสเซอร์แอร์ไฟฟ้าเพื่อลดการสูญเสียพลังงาน ช่วยให้เกิดความประหยัดกว่าเดิมราวร้อยละ 34 สำหรับการขับขี่ในเมือง และให้อัตราประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นกว่าเดิมราวร้อยละ 15 สำหรับการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง เมื่อดำเนินการทดสอบตามมาตรฐานการวัดระยะทางรถยนต์ไฟฟ้าแบบ NEDC
7 Drive Mode โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (AYC)
โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ประกอบด้วย โหมดการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) 2 โหมดและอีก 5 โหมดสำหรับพื้นผิวถนนที่มีสภาวะแตกต่างกันตามภูมิประเทศและภูมิอากาศเพื่อความเหมาะสมสูงสุดในการขับขี่และการควบคุมตัวรถที่ตอบสนองได้อย่างแม่นยำ
ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้โหมดการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) 2 โหมด ได้ตามต้องการ ซึ่งประกอบด้วย EV Priority Mode ที่ขับเคลื่อนรถด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่ โดยปราศจากการทำงานของเครื่องยนต์ และหากพลังงานแบตเตอรี่เหลือน้อย ผู้ขับขี่สามารถปรับเข้าสู่ Charge Mode เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ได้ทุกเวลา ทั้งในขณะที่ตัวรถกำลังเคลื่อนที่หรือขณะหยุดนิ่ง เพื่อให้สามารถกลับมาสนุกกับการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าได้อีกครั้ง
พร้อมด้วยโหมดการขับขี่อีก 5 รูปแบบ ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมอบสมรรถนะในการขับขี่และการควบคุมตัวรถที่ตอบสนองได้อย่างเหมาะสมบนพื้นผิวถนนที่มีสภาวะแตกต่างหลากหลายตามภูมิประเทศและภูมิอากาศ โดยพัฒนาระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าให้ดีกว่ารุ่นเดิม ผสานกับระบบควบคุมการขับขี่ต่างๆ ทั้งระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) ซึ่งเป็นการควบคุมแรงเบรกระหว่างล้อหน้าด้านซ้ายและด้านขวาให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (Traction Control System: TCL) ที่ช่วยตรวจจับอาการลื่นไถลของล้อหน้าและควบคุมพละกำลังการขับเคลื่อน ระบบควบคุมอัตราเร่ง (Acceleration Control) ที่ช่วยปรับกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้ทำงานสอดประสานอย่างมีประสิทธิภาพ และระบบควบคุมน้ำหนักพวงมาลัย (Steering Control) ที่ช่วยปรับน้ำหนักของพวงมาลัยให้ตอบสนองได้ตามความเร็วและสภาพพื้นผิวถนน โดยมีรายละเอียดดังนี้
- Normal Mode เป็นโหมดที่สมดุลและเหมาะสมที่สุดสำหรับการขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
- Wet Mode เหมาะสำหรับการขับขี่บนถนนที่เปียกลื่น โดยช่วยป้องกันการลื่นไถล ให้การควบคุมที่มั่นใจและเกาะถนนเป็นเลิศแม้ขณะฝนตกหนัก
- Gravel Mode เหมาะสำหรับการขับขี่บนทางทางลูกรัง เพิ่มเสถียรภาพการขับขี่บนพื้นผิวถนนที่ลื่นและขรุขระ
- Tarmac Mode เหมาะกับการขับขี่บนถนนลาดยาง ที่ให้พละกำลังและการควบคุมการขับขี่ที่คล่องตัว มั่นใจได้ในทุกสถานการณ์ แม้บนถนนที่คดเคี้ยว
- Mud Mode ทางโคลน เพิ่มการตอบสนองและการควบคุมที่ทรงพลังบนถนนดินโคลนสมบุกสมบัน
ภายในห้องโดยสาร โดดเด่นสะดุดตาด้วยหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว แสดงข้อมูลที่หลากหลายและใช้งานได้ง่ายขึ้นโดยจะแสดงข้อมูลสำคัญเพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ระบบขับเคลื่อนไฮบริด อาทิ แสดงรูปแบบการขับขี่ที่จะเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์การขับขี่และอัตราเร่ง รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงาน อัตราการประหยัดพลังงานเมื่อขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) ระดับพลังงานที่มีในแบตเตอรี่ และข้อมูลอื่นๆ ทั้งนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ จะมีการแสดงภาพกราฟฟิกกลางหน้าจอเพื่อแจ้งโหมดการขับขี่ที่กำลังทำงานอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกการแสดงผลหน้าจอได้ตามความต้องการ ระหว่าง แบบ Enhanced Mode ที่ล้ำสมัย หรือแบบ Classic Mode ที่ถอดแบบมาจากมาตรวัดสไตล์อนาล็อก
รถยนต์ขับเคลื่อนฟูลไฮบริด เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ใหม่! ให้ความสำคัญกับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าในแบบรถยนต์ไฟฟ้า จึงมุ่งเน้นการขับขี่ที่ผ่อนคลาย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ด้วยการเพิ่มวัสดุกันเสียงและดูดซับเสียงรบกวนในจุดสำคัญต่างๆ ทั่วตัวรถ เสริมความเงียบสงบภายในห้องโดยสารได้อย่างดี ไม่เพียงขณะขับขี่ในรูปแบบ EV แต่รวมถึงขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน ทั้งในขณะที่เร่งความเร็วหรือขับขี่ด้วยความเร็วสูง ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกผ่อนคลายและสามารถเพลิดเพลินกับการพูดคุย เท่ห์ดีไซน์หัวเกียร์ใหม่แบบ Electric Shift ที่มาพร้อมเทคโนโลยีระบบเกียร์ไฟฟ้า (Shift-by-Wire) เพิ่มความสะดวกสบาย ใช้งานได้ง่าย
เพื่อรองรับระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ชุดแบตเตอรี่ขับเคลื่อนได้รับการติดตั้งไว้ใต้พื้นบริเวณเบาะนั่งคู่หน้า จึงทำให้ยังคงมีพื้นที่ห้องโดยสารภายในกว้างขวาง ด้วยเบาะนั่ง 3 แถว พร้อมรองรับผู้โดยสาร 7 ที่นั่ง ด้วยขนาดตัวถังที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางทั้งในและนอกเมือง อีกทั้งห้องเครื่องยนต์และบริเวณรอบชุดแบตเตอรี่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ โดยชุดแบตเตอรี่ยังได้รับการปกป้องด้วยคานรับด้านหน้าและคานขวางด้านหน้า เพื่อเพิ่มความแข็งแรงทนทานของตัวถัง พร้อมด้วยการพัฒนาช่วงล่างและระบบกันสะเทือนใหม่ ที่ทำให้มีเสถียรภาพการขับขี่และความสะดวกสบาย ประสิทธิภาพของระบบเบรกยังได้รับการปรับปรุงใหม่ ตอบสนองได้ดียิ่งขึ้นและชะลอความเร็วอย่างมั่นใจ ด้วยดิสก์เบรกครบทั้ง 4 ล้อ
ภายนอกตัวรถโดดเด่นด้วยโลโก้ “HEV” ที่กระจังหน้าและฝาประตูท้าย พร้อมด้วยโลโก้ “HYBRID EV” ที่ประตูหน้า และการตกแต่งด้วยเส้นสายสีน้ำเงินที่กันชนหน้า กาบข้างประตู กันชนหลัง และล้ออัลลอยสีทูโทน มาพร้อมสีใหม่ที่เพิ่มจากรุ่นก่อน คือ สีขาว White Diamond ช่วยสะท้อนถึงความพรีเมียม และนิยามความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ดูสะอาดตาของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ร่วมด้วยสีเงิน Blade Silver Metallic สีเทา Graphite Gray Metallic และสีดำ Jet Black Mica รวมถึงสีเขียว Green Bronze Metallic ที่เป็นสีพิเศษเฉพาะของรุ่น เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี
โดยในโอกาสเฉลิมฉลองการเปิดตัวใหม่นี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส พร้อมมอบราคาพิเศษช่วงแนะนำ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 7 เมษายน 2567 เพื่อเป็นของขวัญให้กับลูกค้ามิตซูบิชิ ที่รักทุกท่าน โดยมิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี ใหม่! มีราคาจำหน่ายช่วงแนะนำเริ่มต้นที่ 912,000 บาท ขณะที่ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ใหม่! มีราคาจำหน่ายช่วงแนะนำเริ่มต้นที่ 946,000 บาท ซึ่งมีราคาจำหน่ายเท่ากับรุ่นเครื่องยนต์สันดาปในปัจจุบัน
หลังจากช่วงเวลาพิเศษ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี ใหม่! จึงมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 933,000 บาท และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ใหม่ มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 961,000 บาท ซึ่งมีราคาที่ไม่ต่างจากรุ่นเดิม
นอกจากนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังมอบข้อเสนอพิเศษ มิตซูบิชิ เอ็กซ์ตร้า แคร์ เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านสามารถครอบครองและขับขี่รถทั้งสองรุ่นใหม่นี้โดยไม่ต้องกังวล ได้แก่
- การรับประกันคุณภาพรถใหม่ ตลอด 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
- แพ็กเกจบำรุงรักษานาน 5 ปี
- ฟรีค่าแรงสำหรับการเช็คระยะตลอด 5 ปี
- บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมงนาน 5 ปี
- พร้อมกับประกันภัยชั้น 1 ฟรีหนึ่งปี
- เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นในระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด บริษัทฯ จึงขยายการรับประกันระบบขับเคลื่อนไฮบริด ยาวนานถึง 5 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง
- และขยายการรับประกันพิเศษสำหรับแบตเตอรี่ขับเคลื่อนไฮบริดในปีที่ 6-10 โดยไม่จำกัดระยะทาง
สรุปว่า มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ใหม่ รูปทรงคมเข้ม ภายในห้องโดยสารงานดีประณีต สะดวกสบายกว่าเดิม มีจุดเด่นที่ชุดขับเคลื่อนฟูลไฮบริด แต่ยังเสียดายที่ไม่มีระบบความปลอดภัยล้ำสมัย ส่วน XL7 ที่ใช้เทคโนโลยี ไฮบริดแบบซูซูกิที่เรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริง และมีราคาย่อมเยา และเวลอส จากโตโยต้า โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัย รวมถึงความทนทานน่าเชื่อถือ รถอเนกประสงค์แบบ MPVขนาดกะทัดรัด แบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ทั้ง 3 รุ่นนี้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน พร้อมตอบโจทย์การเดินทางกับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน จะเลือกแบบไหนอยู่ที่คุณแล้วครับ!