ปลายเดือนกันยายน 2568 ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย เสริมแกร่งในตลาดรถยนต์ โดยเปิดตัวสปอร์ต SUV ขนาดกะทัดรัด รุ่นล่าสุด ALL NEW SUZUKI FRONX พร้อมแนวคิด “THE ICONIC DRIVE นิยามใหม่ของการขับขี่…ในแบบที่เป็นคุณ” ซึ่งเมื่อดูจากภายนอกจะเห็นถึงดีไซน์ที่โดดเด่น พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและระบบความปลอดภัยที่ครบครัน ฟรองซ์ เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์จากซูซูกินำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยจากอินโดนีเซีย ภายใต้กลยุทธ์ Global Model ที่เคยประกาศไว้



(จากขวา) นายทาดาโอะมิ ซูซูกิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และ นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
ALL NEW SUZUKI FRONX เป็นหนึ่งในโมเดลของซูซูกิที่สร้างความสำเร็จมาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในอินเดีย ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย เอสยูวีดีไซน์สปอร์ตรุ่นนี้ สร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้ที่มองหารถยนต์ที่พร้อมเป็นเพื่อนร่วมทางในหลากหลายกิจกรรมของชีวิตประจำวัน ด้วยความสะดวกสบายในการใช้งาน รวมถึงความคล่องตัวในการขับขี่ มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยระบบความปลอดภัยที่ครบครัน สะท้อนถึงความตั้งใจของซูซูกิที่เชื่อมั่นในคุณภาพและความคุ้มค่า รวมถึงบริการหลังการขายที่ได้มาตรฐาน จะมีสำคัญที่สามารถทำให้ผู้ใช้รถชาวไทยมองเห็นคุณค่าและตัดสินใจเลือกใช้รถยนต์ซูซูกิ ฟรองซ์



หลังจากการเปิดตัวราวหนึ่งเดือนผมและเพื่อนๆ สื่อมวลชนมีโอกาสได้สัมผัสและทดลองขับ SUZUKI FRONX แบบลูกผสมตามสไตล์ของรถที่เป็นแบบ SUV Crossover บนแผ่นดินบ้านใกล้เรือนเคียงของ สสป.ลาว เส้นทางจึงมีความหลากหลายเป็นพิเศษ ตั้งแต่ใจกลางนครหลวงเวียงจันทน์ ต่อเนื่องด้วยทางด่วนพิเศษเพื่อมุ่งหน้าสู่วังเวียง กระทั้งถึงเส้นทางถนนซ่อมสร้างที่หลุมบ่อ ประกอบกับสภาพอากาศในวันที่ฝนตก ครบเครื่องเหมาะเจาะกับการลองขับซูซูกิ ฟรองซ์



เราออกสตาร์ทกันที่ประตูชัย ฝ่าการจราจรที่แน่นหนาพอประมาณในช่วงเวลาเช้าวันทำงาน ขับอุ่นเครื่องในเมืองได้ราว 10 กิโลเมตร แยกออกทางเขตเมืองเล็กน้อย ก็มาถึงด่านเก็บเงิน ( รับบัตรเพื่อจ่ายเงินที่ช่องทางออก ) เราใช้เส้นทางด่วนพิเศษมุ่งหน้าเมืองวังเวียง ซึ่งมีระยะทางจากนี้ราว 110 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง ด้วยความเร็วเดินทางที่ทางการลาว กำหนดไว้ไม่เกิน 120 กม./ ชม. สำหรับรถ 4 ล้อเล็ก และลดหล่นลงมาที่ 100 กม./ชม. สำหรับรถโดยสาร และ 80 กม./ชม. สำหรับรถบรรทุก เป็นต้น เส้นทางเป็นแบบ 4 เลน ฝั่งละ 2 เลน รถน้อยกว่าบ้านเรามาก ขับช้าชิดขวา แซงซ้าย ส่วนให้จะเป็นทางตรง มีโค้งบ้างแต่ก็กว้างพอหากไม่ต้องการยกคันเร่ง ทำให้เรามีโอกาสค้นหาสมรรถนะของ ซูซูกิ ฟรองซ์ บนไฮเวย์กันได้อย่างชัดเจนทั้งขาไปและกลับ



ว่ากันตรงๆ ซูซูกิ ไม่มีรถอเนกประสงค์แบบนี้มานาน เราเองจึงได้แต่เปรียบเทียบกับรถในลักษณะใกล้กันอย่างโตโยต้า ยาริส ครอส HEV , ฮฮนด้า เอชอาร์ – วี e:HEV , นิสสัน คิกส์ e-POWER ทว่า ฟรองซ์ มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร ซึ่งมีให้เลือกทั้งบล๊อค K15B ซึ่งติดตั้งอยู่เฉพาะในรุ่นเริ่มต้น แต่สำหรับเราได้ลองตัวท๊อปล้วนๆ ซึ่งมียกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยเครื่องยนต์บล๊อคใหม่รหัส K15C ที่มาพร้อมเทคโนโลยีหัวฉีดคู่ (DUALJET) ทำงานร่วมกับระบบ Smart Hybrid Vehicle (SHVS) เอกสิทธิ์เฉพาะของซูซูกิ ผสานการทำงานรวมกับเครื่องยนต์ผ่านระบบ Integrated Starter Generator (ISG) และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ให้กำลัง 101 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ใหม่ มอบสมรรถนะการขับขี่ด้วยอัตราเร่งที่เร้าใจ หอบหิ้วตัวถัง พร้อมน้ำหนักผู้ขับขี่ ผู้โดยสารและสัมภาระเกินกว่า 1.2 ตัน ได้แบบสบายๆ และที่สำคัญคืออัตราประหยัดเชื้อเพลิงระดับ 15 -16 กิโลเมตรต่อลิตร กับการขับขี่แบบเกินกว่าการใช้งานปกติในชีวิตประจำวันเล็กน้อย



ออกจากทางด่วนพิเศษจ่ายค่าธรรมเมียมไป 139,000 กีบ เราก็เจอกับทางหลวงชนบทแบบดั้งเดิมผ่านหมู่บ้านชุมชนก่อนจะเข้าสู่วังเวียง แวะพักและเก็บภาพกับบอลลูนที่ Sky Club แล้วออกไปเผชิญกับความท้าทายกับการเดินทางด้วยน้องฟรองซ์ บนเส้นกึ่งวิบากที่ปกติสายแอดเวนเจอร์เค้าใช้ขับรถบ๊คกี้กัน เราขับซูซูกิ ฟรองซ์ ลัดเลาะไปตามเส้นทางสองเลนสวนกันที่เต็มไปด้วยเส้นทางที่หลากหลายทำให้เราสัมผัสได้ถึงการทำงานของช่วงล่างที่ให้ความสมดุลย์ นุ่มนวลและหนึบหนับ และนี้คือจุดเด่นที่สุดของ ซูซูกิ ฟรองซ์ ( สำหรับผม ) รองลงมาก็คือชุดระบบความปลอดภัยที่รวมเรียกว่า SUZUKI SAFETY SUPPORT ซึ่งทำงานได้อย่างดีและใช้งานง่าย เมื่อร่วมกับโครงสร้างตัวถัง บรรยากาศภายในห้องโดยสารที่ให้ความรู้สึกกะตึอรึอล้นมีชีวิตชีวา ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างนุ่มนวลและเงียบสบายอย่างไม่คาดคิดเมื่อเทียบกับรถในกลุ่มเดียวกัน



สะกดตาด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ทั้งภายนอกจรดภายใน ด้วยไฟหน้าพร้อมไฟ Daytime Running Light เสริมความพรีเมียมของกระจังหน้าด้วยเส้นคาดโครเมียม และไฟท้าย LED เชื่อมโยงด้วยเส้นคาดตลอดแนวเท่ทุกมุมมอง ภายในห้องโดยสารออกแบบให้มีสไตล์สอดรับกับเส้นสายภายนอก และความสบายในเบาะที่นั่งแต่ละตำแหน่ง พร้อมพวงมาลัย Multifunction ดีไซน์สปอร์ตพร้อม Paddle Shift เพิ่มความเร้าใจและความสนุกในการขับขี่ หน้าจอกลางเป็นระบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย ระบบ Keyless Push Start แท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และช่องปรับอากาศสำหรับที่นั่งด้านหลัง พร้อม USB Charger อีก 2 ตำแหน่ง พร้อมจอแสดงข้อมูล Head-up display (HUD) (เฉพาะรุ่น GLX PLUS) แสดงข้อมูลการขับขี่ที่สำคัญโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน



สมรรถนะและความปลอดภัยครบครัน รองรับการขับขี่ได้หยึดหยุ่นอย่างหลากหลาย พร้อมรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 4.8 เมตร ทำให้การขับขี่ รวมถึงการจอดในพื้นที่คับแคบเป็นเรื่องไม่ยากและเมื่อประกอบกับภายจากจอกลางยิ่งเพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้น โครงสร้างตัวถัง TECT เหล็กกล้าน้ำหนักเบา มีความแข็งแรง แพลตฟอร์ม HEARTECT เอกสิทธิ์เฉพาะของซูซูกิ ระบบ NVH ช่วยลดเสียงรบกวนและแรงสั่นสะเทือนจากภายนอก



ความปลอดภัยครบครัน SUZUKI FRONX ทุกรุ่น มอบความอุ่นใจด้วยถุงลมนิรภัย SRS มากถึง 6 ตำแหน่ง ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Hold Control): ป้องกันรถไหลถอยหลังเมื่อออกตัวบนทางลาดชัน จุดยึดเบาะที่นั่งสำหรับเด็ก: พร้อมจุดรั้งตำแหน่งด้านบนของเบาะที่นั่งเด็ก (ISOFIX) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP: ช่วยให้รถมีเสถียรภาพในการขับขี่ที่ดี



และพิเศษเฉพาะสำหรับรุ่นท็อปที่เราได้ลองขับคราวนี้ มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยี SUZUKI SAFETY SUPPORT (เฉพาะรุ่น GLX PLUS) ซึ่งประกอบด้วย
- ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ Dual Sensor Brake Support II (DSBSII)
- จอแสดงข้อมูล Head-up display (HUD)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control (ACC)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน Lane Keep Assist (LKA)
- ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning (LDW)
- ระบบช่วยป้องกันรถออกนอกเลน Lane Departure Prevention (LDP)
- ระบบเตือนเมื่อรถส่าย Vehicle Sway Warning
- ระบบเตือนสิ่งกีดขวางในจุดอับสายตา Blind Spot Monitor (BSM)
- ระบบเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert (RCTA)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Assist (HBA)
- กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา Surround View Monitor
- เซนเซอร์ถอยหลังพร้อมสัญญาณเตือน Parking Sensor



นอกจากนี้ ซูซูกิยังมอบทางเลือกที่คุ้มค่าตลอดการใช้งาน คลายกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถ และเพื่อมอบความอุ่นใจสูงสุดให้กับลูกค้า ซูซูกิขอนำเสนอโปรแกรมพิเศษ SUZUKI FRONX Worry Free Maintenance Package ในราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 27,999 บาท ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถตามระยะทาง นานถึง 7 ปี ซึ่งเป็นความคุ้มค่าที่ช่วยให้ลูกค้าวางแผนค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น และมีความมั่นใจในการครอบครองรถในระยะยาว

ALL NEW SUZUKI FRONX ผลิตภัณฑ์ที่ซูซูกิเชื่อมั่นว่า ผู้บริโภคชาวไทยจะให้การตอบรับอย่างดี จากความนิยมของผู้บริโภคที่มีในกลุ่มเอสยูวีที่ขยายตัวมากขึ้น เสริมด้วยบริการหลังการขายที่มีการยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ผ่านระบบ Dealer Management System (DMS) พร้อมด้วยแอปพลิเคชัน Hello Suzuki ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถนัดหมายศูนย์บริการล่วงหน้า ตรวจสอบข้อมูลการเข้ารับบริการ และขอรับบริการช่วยเหลือฉุกเฉินได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ปัจจุบันซูซูกิมีศูนย์ซ่อมตัวถังและสีมาตรฐาน 47 แห่งทั่วประเทศ และยังมีบริการ “Mobile Service” ที่พร้อมดูแลรถยนต์นอกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ตรวจสอบระบบเบรก แบตเตอรี่ หรือการบำรุงรักษาพื้นฐานต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย



อย่างไรก็ตาม ซูซูกิ ประเทศไทย เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมของผู้จำหน่ายทุกรายตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อให้สามารถรองรับการบริการรถยนต์รุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังคงยึดมั่นในแนวทาง ‘SUZUKI Cause We Care – เหนือกว่าความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ’ ซึ่งเป็นแนวทางในการพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์คุณภาพตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืน”



ราคารถยนต์ ALL NEW SUZUKI FRONX
- รุ่น GL ราคา 689,000 บาท
- รุ่น GLX ราคา 749,000 บาท
- รุ่น GLX PLUS ราคา 799,000 บาท
*หมายเหตุ สี Pearl Snow White เพิ่ม 5,000 บาท
สี Two-tone เพิ่ม 10,000 บาท



ALL NEW SUZUKI FRONX ในรุ่น GL, GLX และ GLX PLUS มาพร้อมหลากหลายเฉดสี ได้แก่
- Pearl Snow White
- Silky Silver Metallic
- Metallic Magma Gray
- Cool Black Metallic
- Savanna Ivory Metallic
ALL NEW SUZUKI FRONX ยังมีสีพิเศษในรุ่น GLX PLUS แบบ Two-tone อีก 3 สี ได้แก่
- Pearl Snow White / Cool Black Metallic
- Savanna Ivory Metallic / Cool Black Metallic
- Ice Grayish Blue Metallic / Cool Black Metallic



และช่วงเปิดตัว ALL NEW SUZUKI FRONX ซูซูกิจัดข้อเสนอพิเศษให้แก่ลูกค้าที่จองและรับรถตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน – 31 ธันวาคม 2568 เท่านั้น โดยลูกค้าจะได้รับสิทธิประโยชน์ดังนี้:
- ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น 99%
- ฟรี! ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก
- ฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 3 ปี



แคมเปญพิเศษ
ลูกค้าสามารถเลือกรับ SUZUKI FRONX Worry Free Maintenance Package ในราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 27,999 บาท ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตามระยะทาง นานถึง 7 ปี ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถตามระยะทางนานถึง 7 ปี ซึ่งเป็นความคุ้มค่าที่ช่วยให้ลูกค้าวางแผนค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น และมีความมั่นใจในการครอบครองรถในระยะยาว


วังเวียง (ลาว: ວັງວຽງ) เป็นเมืองท่องเที่ยวในแขวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ห่างจากนครหลวงเวียงจันทน์ ประมาณ 160 กิโลเมตร ได้ฉายาว่า เมืองกุ้ยหลินแห่งเมืองลาว โดยมีจุดเด่นที่พื้นที่ภูมิประเทศรอบ เป็นที่ราบระหว่างภูเขาหินปูน ป่าไม้สมบูรณ์ เต็มไปด้วยธรรมชาติสวยงาม เป็นอีกเมืองหนึ่งที่น่าสนใจ จึงทำให้วังเวียง เป็นเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติต้องไปเที่ยวชมสักครั้ง
สระน้ำสีฟ้า บลูลากูน (Blue Lagoon)
ที่เที่ยวติดอันดับท็อปของวังเวียง หากใครมาวังเวียงแล้วไม่ได้ไป บลูลากูน เดี๋ยวเค้าจะหาว่าไปไม่ถึง ด้วยสระน้ำสีฟ้าใสที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งสีฟ้าที่ได้นี้เกิดจากภูเขาหินปูนนั่นเอง น้ำที่นี่ใสมากจนน่าลงเล่น หลายคนมาเพื่อเล่นน้ำที่นี่ เพราะมีกิจกรรมให้เล่นน้ำสนุกๆ สามารถขึ้นไปกระโดดลงเล่นน้ำที่บลูลากูนได้อย่างสนุกสนาน ยังมีชิงช้าให้ขึ้นไปนั่งถ่ายรูปสวยๆ
บลูลากูน (Blue Lagoon) มีอยู่หลายจุดด้วยกัน จากเดิมที่เป็นสระเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ก็ได้มีการขุดเพิ่มเติมขึ้นมาอีก จึงมีบลูลากูนให้เราเที่ยวชมได้อีกหลายจุด แต่ที่นิยมที่สุดเห็นจะเป็นจุดที่อยู่ใกล้กับถ้ำปูคำ หรือ บลูลากูน1 ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวหลัก และยังมีทั้งกิจกรรมอื่นๆ เช่น เครื่องเล่นเป่าลม ซิปไลน์ มีที่นั่งดูปลา และร้านอาหารอีกด้วย
ถ้ำปูคำ วังเวียง
ถ้ำปูคำ (“คำ” ที่แปลว่า “ทอง”) อยู่บริเวณเดียวกันกับ บลูลากูน1 โดยเดินทางผ่านเส้นทางขึ้นไปบนเขาประมาณ 150 เมตร เข้าไปในถ้ำ จะเห็นความกว้างใหญ่ของถ้ำ มีหินงอกหินย้อยรูปทรงแปลกตา ประกอบกับมีแสงจากภายนอกลอดผ่าน ทำให้มีความสวยงามยิ่งขึ้น อีกทั้งภายในถ้ำปูคำจะเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางไสยาสน์ให้เข้าไปกราบไหว้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งถ้าปูคำแห่งนี้มีตำนานพื้นบ้านเล่าว่า ทุกๆ วันพระจะมีปูสีเหลืองคล้ายสีทองออกมาเล่นแสงจันทน์ จึงได้ตั้งชื่อถ้ำแห่งนี้ว่า “ถ้ำปูคำ”

ล่องเรือแม่น้ำซอง
แม่น้ำซอง (Nam Song River) เป็นแม่น้ำสายหลักของวังเวียง สามารถเที่ยวชมเมืองวังเวียงโดยการล่องเรือไปตามแม่น้ำซอง ชมวิถีชีวิตของคนริมแม่น้ำ อาจได้พบกับชาวบ้านกำลังพายเรือหาปลา หรือมีเด็กๆ ลงเล่นน้ำ รวมไปถึงชมสองฟากฝั่งแม่น้ำไปเพลินๆ และหากใครอยากเล่นสนุกๆ ก็สามารถล่องห่วงยางได้เช่นกัน โดยสามารถเช่าห่วงยางจากร้านในตลาด แล้วก็ไปล่องกันเลย โดยใช้เวลาล่องห่วงยางประมาณ 45 นาที – 1 ชั่วโมง เป็นระยะทาง 7-8 กิโลเมตร



ขึ้นบอลลูน ชมวิววังเวียง
อีกหนึ่งไฮไลท์ของการมาเที่ยววังเวียงที่ไม่อยากให้พลาด นั่นคือการขึ้นบอลลูนชมวิววังเวียง ที่เราจะได้เห็นวังเวียงได้จากมุมสูง ธรรมชาติของแม่น้ำ ต้นไม้ ภูเขา ทุ่งนา อันกว้างไกล เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมการเที่ยวชมวังเวียงที่ไม่ควรพลาด
นั่งห่วงยาง ลอดถ้ำน้ำ
ถ้ำน้ำ (Tham Nam / Water Cave) เป็นอีกหนึ่งถ้ำที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัยของวังเวียง ซึ่งกิจกรรมเด่นๆ ของการไปเที่ยวถ้ำน้ำก็คือการนั่งห่วงยางลอดถ้ำน้ำนั่นเอง โดยการนั่งบนห่วงยาง แล้วจับเชือกเข้าไปในถ้ำ ซึ่งเมื่อเข้าไปภายในถ้ำจะพบกับหินงอกหินย้อยมากมาย ใครชอบธรรมชาติและกิจกรรมแอดเวนเจอร์ ไม่ควรพลาด
สะพานน้ำเงิน & ถ้ำนางฟ้า
สะพานแขวนสีน้ำเงินที่ข้ามผ่านแม่น้ำจะพาเราไปพบกับถ้ำนางฟ้า ถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงามมากมาย และยังเป็นจุดท่องเที่ยวที่เปิดได้ไม่กี่ปี คนยังไปเที่ยวชมไม่มากนัก เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวธรรมชาติของวังเวียงที่ควรต้องไปชม




