คาร์ออลสไตล์ ครบเครื่อง เรื่องรถ

TESTDRIVE

สัมผัสแรก BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID ในประเทศไทย

ต้นเดือนสิงหาคม 2568 บีวายดี (ประเทศไทย) พร้อมด้วย เรเว่ ออโตโมทีฟ ผู้จัดจําหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์ BYD และ DENZA อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ จัดทริปทดลองขับ BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID สำหรับสื่อมวลชนกลุ่มแรกของไทย โดย BYD SEAL 5 เป็นรถยนต์ซีดานขับเคลื่อนด้วยขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) หรือ DM-i SUPER HYBRID ก่อนการประกาศราคาจำหน่ายในวันที่ 8 สิงหาคม นี้

การลองของ BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID คราวนี้นับเป็นครั้งแรกสำหรับสื่อมวลชนไทยรวมถึง Carallstyle ทำให้เราได้สัมผัสพร้อมกับพิสูจน์สมรรถนะของขุมพลัง DM-i SUPER HYBRID บนเส้นทางกรุงเทพฯ สมุทรสาคร ไปกับเป็นระยะมากกว่า 230 กิโลเมตร โดยมีนายหยู่ปิน เคอ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมผู้บริหารจากกลุ่มธุรกิจเรเว่ รวมกิจกรรมโดยเริ่มสตาร์ทจาก BYD Academy ย่านบานนา กรุงเทพฯ ขณะเดียวกันนายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “เรเว่ มุ่งมั่นที่จะนำรถยนต์พลังงานใหม่รุ่นล่าสุดมาให้ผู้บริโภคได้สัมผัส BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID ในประเทศไทย และยังต้องการพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ถึงสมรรถนะและคุณภาพของรถยนต์รุ่นนี้ จึงมีการจัดให้มีการทดสอบเพื่อให้สื่อมวลชนชั้นนำกลุ่มแรกของไทยได้สัมผัสเทคโนโลยี DM-i SUPER HYBRID ด้วยตัวเอง โดยนวัตกรรมนี้อยู่ในรถยนต์ซีดานเป็นครั้งแรกของไทยอีกด้วย”

นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “ขุมพลัง DM-i SUPER HYBRID ใน BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID คือนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนทุกมิติ เนื่องจากเน้นการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า จึงใช้เชื้อเพลิงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสร้างมลพิษต่ำ ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ความยั่งยืนทางทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับพันธกิจของ เรเว่

ครั้งแรกของไทยกับรถยนต์ซีดานขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด BYD SEAL 5 DM-i รุ่นพวงมาลัยขวาผลิตในประเทศไทยเป็นครั้งแรกของโลก และมาพร้อมขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) แบบ DM-i SUPER HYBRID หรือ Dual Mode-intelligent ที่เน้นการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก โดยขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง ผสานเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ ที่ออกแบบมาเพื่อรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดโดยเฉพาะ มอบกำลังรวมสูงสุด 160 กิโลวัตต์ แรงบิดรวมสูงสุด 300 นิวตันเมตร ทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำ และประสิทธิภาพการขับขี่ พร้อมด้วย BYD Blade Battery ขนาด 18.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง เอกสิทธิ์เฉพาะของ BYD ทั้งยังมีระบบ VtoL สำหรับจ่ายกระแสไฟฟ้าให้เครื่องใช้ไฟฟ้าได้อีกด้วย BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID สามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวเป็นระยะทางสูงสุด 120 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) และขับขี่ระยะทางรวมมากกว่า 1,000 กิโลเมตร*

*เป็นไปตามมาตรการทดสอบตามมาตรฐาน NEDC ระยะทางจริงอาจปรับเปลี่ยนได้ตามปัจจัยต่างๆ เช่น พฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล น้ำหนักบรรทุก สภาพการจราจร และอื่นๆ

BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID มีดีไซน์ภายนอกที่ออกแบบภายใต้แนวคิด OCEAN AESTHETICS เส้นสายด้านข้างตัวรถที่เฉียบคมและพลิ้วไหวสะท้อนความล้ำสมัย เสริมด้วยกระจังหน้าไร้กรอบแบบ DOT MATRIX พร้อมไฟหน้า Full LED แบบ STARLIGHT และไฟท้ายรมดำแบบ DOT MATRIX พร้อมแถบ LED แบบ Lightbar ภายในห้องโดยสารกว้างขวางด้วยระยะฐานล้อ 2,718 มิลลิเมตร ทั้งยังมาพร้อมกับ BYD Intelligent Cockpit ซึ่งมีสวิทช์เปลี่ยนเกียร์แบบหมุน และรวบรวมปุ่มควบคุมต่างๆ ไว้ในตำแหน่งเดียวกันบริเวณคอนโซลกลางเพื่อให้ควบคุมง่ายและคล่องตัว หน้าจอเรือนไมล์ขนาด 8.8 นิ้ว และหน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดียขนาด 12.8 นิ้ว ขนาดใหญ่เข้าถึงข้อมูลและความบันเทิงได้สะดวก

 

ผม อทิติ ศศิโรจน์ จาก Carallstyle ร่วมเดินทางคันเดียวกับ พิเชษฐ แจ่มกระทึก จูโล้งมีเดีย 224LifeStyle พร้อมสื่อมวลชนไทยจากทุกแขนงร่วมพิสูจน์นวัตกรรมยานยนต์ BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID จากจุดปล่อยตัวที่ BYD Academy ศูนย์กลางอบรมและพัฒนาความสามารถของบุคลากรที่จะยกระดับประสบการณ์การให้บริการลูกค้า บีวายดี ฝ่าการจราจรมุ่งสู่จุดหมายเพื่อพิสูจน์สมรรถนะ และความกว้างขวางของห้องโดยสารที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน และที่สำคัญที่สุดคือประสิทธิภาพของขุมพลัง DM-i SUPER HYBRID ที่ใช้เชื้อเพลิงเต็มประสิทธิภาพ และให้สมรรถนะการขับขี่ที่เชื่อถือได้ ทั้งยังอุ่นใจและลดความเมื่อยล้าของผู้ขับขี่ตลอดเส้นทางด้วยแพคเก็จระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันและปกป้องครบครัน

BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID มีมิติตัวถังภายนอก ยาว 4,780 กว้าง 1,837 สูง 1,495 มิลลิเมตร ซึ่งนับว่าได้เปรียบคู่แข่งในตลาดรถยนต์ซีดานไฮบริด โดดเด่นชัดเจนในขณะต้องการเปลี่ยนทิศทางด้วยไฟเลี้ยวทางด้านหลังแบบ Sequential ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด 215/55 R17 ภายในห้องโดยสารกว้างขวางพร้อมพื้นที่บรรจุสัมภาระท้ายรถขนาด 450 ลิตร ใส่กระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้ว ได้ถึง 6 ใบ จัดเก็บสัมภาระได้มากขึ้นด้วยการพับเบาะหลังแบบ 60/40 ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใชชีวิตที่หลากหลาย

BYD Intelligent Cockpit มาพรอมเครื่องเสียง ลําโพง 8 ตําแหน่งจากโรงงาน สะดวกสบายทุกที่นั่งด้วยเบาะนั่งผูขับขี่ปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง เบาะหลังมีพนักพิงศีรษะปรับระดับแยกกันได้ทั้ง 3 ตําแหน่ง และมีที่พักแขนตรงกลางพร้อมที่วางแก้ว 2 ตําแหน่ง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ มาพร้อมระบบกรองฝุ่น PM2.5 และชองปรับอากาศด้านหลัง และพอร์ท USB ทั้งไทร์ฟ A และ C พร้อมทั้งอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ เช่นที่ชาร์จโทรศัพทมือถือแบบไร้สาย ระบบสั่งงานด้วยเสียง ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ กุญแจแบบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ NFC (NFC Card) BYD Digital Key และรองรับการอัปเดตซอฟต์แวร์ผ่านสัญญาณอินเทอร์เน็ต (OTA)

ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) แบบ DM-i SUPER HYBRID หรือ Dual Mode-intelligent ที่เน้นการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นหลักในทุกช่วงความเร็ว ให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ประหยัด พร้อมกับอัตราเร่งที่ตอบสนองทันใจ ( 0-100 กม./ชม. ใน 7.5 วินาที) ด้วยระบบ EHS (Electric Hybrid System) เป็นการออกแบบที่ผสมผสานระหว่างชุดควบคุมอิเล็กทรอนิกส์คู่และมอเตอร์คู่ ให้กําลังสูงสุดชุดมอเตอร์ไฟฟ้า 145 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตัน-เมตร ซึ่งมีการจัดการพลังงานและความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ หัวใจสำคัญอีกอย่างคือเครื่องยนต์เบนซิน Xiaoyun 1.5L Atkinson Cycle ให้กําลังสูงสุด 72 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 122 นิวตัน-เมตร อัตราส่วนกําลังอัด 15.5:1 และระบบระบายความร้อนแบบแยกส่วน มอบความประหยัดด้วยอัตราสิ้นเปลือง 3.8 ลิตร/100 กิโลเมตร ( 26.3 ก.ม./ ลิตร ) แม้ขณะที่แบตเตอรี่เหลือน้อย (SOC ตํ่า) และยังรองรับนํ้ามัน E20, Gasohol 91 และ 95 เพิ่มความยืดหยุ่นในการเดินทาง

BYD SEAL 5 ใช้ BYD Blade Battery ขนาด 18.3 กิโลวัตต – ชั่วโมง เทคโนโลยีแบตเตอรี่เอกสิทธิ์เฉพาะของ BYD ที่ผ่านการผานการทดสอบความปลอดภัยระดับสูง รวมถึงโครงสร้างแบบรังผึ้ง (Honeycomb Structure) ที่ชวยเสริมความแข็งแกร่ง ทั้งยังมาพร้อมระบบการจัดการพลังงานและความร้อนประสิทธิภาพสูง เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน ส่งผลให้สามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนได้เป็นระยะทางสูงสุด 120 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) หรือขับขี่ระยะทางรวมสูงสุดมากกวา 1,000 กิโลเมตร*

BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID รองรับการชาร์จแบบ AC Type 2 กําลังสูงสุด 6.6 กิโลวัตต์ และยังมีระบบ VtoL สําหรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้เครื่องใช้ไฟฟ้าได้อีกด้วย ทั้งยังมาพร้อมอุปกรณ์ความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Driving Technology) ทําให้อุ่นใจตลอดการเดินทางด้วยระบบชวยเหลือผูขับขี่ (Intelligent Driving Technology) ระบบช่วยควบคุมความเร็วโดยอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) ระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้า (FCW) ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง (RCW) ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถผ่านจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA) ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน (AEB) ระบบช่วยควบคุมไม่ให้ออกนอกช่องทางเดินรถ (LDP) ระบบช่วยเตือนจุดอับสายตา (BSD) กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา พร้อมเซ็นเซอร์ช่วยตรวจจับวัตถุด้านหน้า 2 จุด และเซ็นเซอร์ช่วยตรวจจับวัตถุด้านหลัง 4 จุด อุปกรณ์ความปลอดภัย (Passive Safety) ถุงลมนิรภัย 6 จุด ประกอบด้วย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง โครงสรางตัวถังแบบ Roll Cage Body เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างรอบคัน และยังส่งผลให้การขับขี่มีความมั่นคงมากขึ้น โครงสร้างประตูมีคานขว้างในตัว และหล่อโครงประตูเป็นชิ้นเดียวกัน ช่วยซับแรงกระแทกจากการถูกชนด้านข้างหรือพลิกควํ่า

สรุปเท่าทีได้สัมผัสและทดลองขับ BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID ครั้งแรก ด้านสมรรถนะการขับขี่ต้องบอกว่าอยู่ในมาตรฐานที่รถซีดานระดับนี้ควรจะเป็น สองส่วนที่ถือว่าโดดเด่นสำหรับรถพลังงานแบบลูกผสมที่เรียกง่ายๆ ว่าไฮบริด คือชุดขับเคลื่อนทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ผนวกกับแบตเตอรี่ที่เป็นจุดเด่นของ BYD อยู่แล้ว ทำให้อัตราประหยัดเชื้อเพลิงทำได้จริงเหมือนที่เคลมไว้ ในสภาวะการขับขี่ที่หลากหลายในชีวิตประจำวัน อีกส่วนคือเรื่องพื้นที่และฟังก์ชั่นการใช้งานภายในห้องโดยสารที่จัดสรรมาอย่างพร้อมสรรพเพื่อความสะดวกสบาย วันนี้ BYD จึงมั่นใจใน SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID ว่าพร้อมเข้าสู้ตลาดรถยนต์เมืองไทยที่มีการแข่งขันอย่างเข้มข้น คงต้องรอดูกันต่อไป ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่พร้อมจะผลักดันและฉุดรั้งจ้าวแมวน้ำน้อยให้แจ้งเกิดเฉิดฉายในแดนสยามได้มากน้อยเพียงไร เดี๋ยวรู้กันครับ!