
Carallstyle มีโอกาสได้ร่วมการทดลองขับ มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ผลิตภัณฑ์ล่าสุดจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่ถือกำเนิดจากปราชญา “Mitsubishi Motors-ness หรือดีเอ็นเอของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส โดยหัวใจสำคัญของรถยนต์มิตซูบิชิทุกรุ่นได้รับการพัฒนาเพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ สร้างแรงบันดาลใจในการออกผจญภัย มอบความมั่นใจ และความอุ่นใจทุกเส้นทาง บนพื้นฐานของเทคโนโลยีล้ำสมัย และความน่าเชื่อถือด้านวิศวกรรม เหล่านี้สะท้อนออกมาด้วยความสำเร็จของ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ที่มียอดจองมากกว่า 5,000 คัน ภายใน 3 เดือนหลังจากการเปิดตัว
ไฮไลต์สำคัญในการลองขับ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี คอมแพกต์เอสยูวี ไฮบริดรุ่นล่าสุดจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ด้วยแนวคิด ”Xperience the Force” เป็นครั้งแรกนับว่ามีอะไรที่น่าค้นหาไม่น้อย และยิ่งขับก็ยิ่งสัมผัสถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน ด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ สมรรถนะการขับขี่มอบความสะดวกสบายช่วยให้เข้าถึงประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจได้ง่ายขึ้น
มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ยังมาพร้อมกับแนวคิด MITSUBISHI e:MOTION ซึ่งได้แก่ ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control – AYC) และแน่นอนรถยนต์รุ่นนี้ จะมีส่วนผลักดันพร้อมทั้งเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มยานยนต์ไฮบริดของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในระดับภูมิภาคอีกด้วย
แนวคิดการออกแบบใหม่ เรียบหรู แต่ทรงพลัง
ทิศทางใหม่ในการออกแบบยานยนต์ของมิตซูบิชิ “ซิลก์กี แอนด์ โซลิด (Silky & Solid)” ซึ่งถูกนำมาปรับใช้กับ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ผสานสไตล์ที่โดดเด่นเข้ากับความทรงพลัง สะท้อนผ่านรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวดึงดูดทุกสายตาผู้พบเห็น ด้วยพื้นผิวที่ดูเรียบเนียนบนตัวรถ สอดรับกับสัญลักษณ์ทรีไดมอนด์ด้านหน้า พร้อมเส้นสายเสมือนมีมัดกล้ามดูไดนามิคจากด้านข้างไปถึงด้านท้ายรถ และหลังคาแบบลอยตัว (Floating Roof) ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย
ด้วยเอกลักษณ์ “ไดนามิคชิลด์” เวอร์ชันแบบ 3 มิติ และสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับการดีไซน์ตั้งแต่กระจังหน้าออกแบบให้ปกป้องและกลมกลืนไปกับกันชนหน้าซ้ายและขวา สร้างมิติของความลึก พร้อมเส้นสายที่แสดงถึงความโฉบเฉี่ยวและแข็งแกร่ง ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้าย LED สี Smoke สร้างความจดจำระดับไอคอนนิค ด้วยการจัดเรียงเป็นรูปตัวที เสริมให้เห็นถึงความกว้างและความรู้สึกมั่นคงของตัวรถ สอดรับกับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ที่ดีไซน์โดยคำนึงถึงแอโรไดนามิค ระยะต่ำสุดถึงพื้น หรือ Ground Clearance สูง 183 มิลลิเมตร เสริมด้วยซุ้มล้อที่เลือกใช้วัสดุและสีที่ตัดกับสีตัวรถ ทำให้ มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี มีบุคลิกของรถเอสยูวีอย่างชัดเจน อีกอย่างที่ช่วยให้ เอ็กซ์ฟอร์ส น่าสนใจคือสีสันที่มีให้เลือกทั้งแบบทูโทน และโมโนโทน ถึง 8 สี
ดีไซน์การออกแบบภายใน
ห้องโดยสารตอบโจทย์การใช้งาน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Horizontal Axis” ทำมีทัศนวิสัยที่แจ่มชัดทุกสภาพเส้นทาง ทั้งยังคลุมโทนสีทูโทน Mélange – Mocha พร้อมการตกแต่งแผงแดชบอร์ดด้วยผ้าแบบพิเศษกันน้ำและคราบสิ่งสกปรก มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่จะช่วยสร้างสุนทรียภาพระหว่างการเดินทาง ห้องโดยสารซ้อนรูปเหมือนจะเล็กแต่ไม่ด้อยกว่า SUV ระดับเดียวกัน พื้นที่เหนือศีรษะ พื้นที่ระหว่างหัวไหล่ และพื้นที่วางขาที่กว้าง ทำให้สามารถเดินทางได้พร้อมกัน 5 คนโดยไม่รู้สึกอึดอัด เบาะนั่งตอนหลังสามารถพับปรับแยก 40:20:40 และที่สำคัญคือยังปรับเอนได้ถึง 8 ระดับ พร้อมด้วยวัสดุหุ้มเบาะ “Heat Guard” ที่ช่วยสะท้อนความร้อนจากแสงแดด
ยกระดับความสะดวกสบายในทุกประสาทสัมผัส
ในรุ่นท๊อปที่เราได้ลองขับยังติดตั้ง ไดนามิค ซาวด์ ยามาฮ่า พรีเมียม ซาวด์ ซิสเต็ม (Dynamic Sound Yamaha Premium Sound System) ระบบเสียงคุณภาพที่ถูกติดตั้งไว้ใน มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี พร้อมกระจายเสียงผ่านลำโพงทั้งหมด 8 ตัว ทวิตเตอร์คู่หน้าที่ถูกติดตั้งบริเวณเสาหลังคาคู่แรก (A-Pillar) ลำโพงวูฟเฟอร์ที่ติดตั้งบริเวณแผงประตูคู่หน้า และลำโพงโคแอกเซียล (Coaxial) แบบ 2 ทาง ที่ประตูคู่หลัง ให้คุณภาพเสียงที่คมชัดอย่างมีมิติ เฉกเช่นการฟังเครื่องดนตรีแบบแยกชิ้น อีกทั้งยังสามารถเลือกรูปแบบเสียงได้ 4 รูปแบบ ตามรสนิยมและอารมณ์ในการฟังดนตรี เพื่อเพิ่มสุนทรียภาพที่ล้ำลึกยิ่งขึ้น
หน้าจอกลางระบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว พร้อม Smartphone-link Display Audio (SDA) ต่อเนื่องกับหน้าจอแสดงผลในการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว แบบมัลติวิดเจ็ต (Multi-widget) จอแบ่งออกเป็น 3 ส่วนเพื่อแสดงข้อมูลต่าง ๆ พร้อมกันบนหน้าจอเดียว อีกทั้งยังสามารถแสดงผลชุดมาตรวัดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมาตรวัดสามช่องในรถระดับตำนานอย่าง มิตซูบิชิ ปาเจโร โดยแสดงข้อมูลสำคัญ เช่น ระดับความสูง มุมเอียง และทิศทาง เพื่อเพิ่มความเร้าใจในการขับขี่ นอกจากนี้ ยังรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และ WebLink เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ทำให้สามารถเพลิดเพลินกับแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้บนหน้าจอขนาดใหญ่
มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ยังมาพร้อระบบฟอกอากาศ nanoe™ X ที่จะช่วยสร้างอากาศบริสุทธิ์ และยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการเหนื่อยล้า สร้างความสดชื่นให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตลอดการเดินทาง ยามค่ำคืนคุณจะพบไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร (Ambient Light) บริเวณคอนโซลหน้าและแผงบุประตูคู่หน้า
ดูแลความปลอดภัยปกป้องรอบทิศทาง
ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยที่รวมเรียกว่า มิตซูบิชิ ไดมอนด์ เซ้นส์ (Diamond Sense) เทคโนโลยีความปลอดภัยครอบคลุม 360 องศา โดยใช้การตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบตัวรถด้วยกล้อง รวมถึงเซนเซอร์ และเรดาห์ที่แม่นยำ โดยจะทำงานและมีสัญญาณเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบเมื่อเกิดสภาวะฉุกเฉินหรือต้องระมัดระวัง ได้แก่
- MAM with Moving Object Detection: กล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นกะระยะ ทำงานผ่านกล้อง 4 ตำแหน่งแสดงภาพสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ พร้อมระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว
- LCDN: ระบบเตือนเมื่อรถด้านหน้าออกตัวหรือเคลื่อนที่ไปด้านหน้า ระบบจะทำการแจ้งเตือนบนหน้าจอแสดงผลแบบ LCD กรณีรถหยุดนิ่ง และมีการเคลื่อนตัวของรถคันหน้า
- BSW with LCA: ระบบเตือนจุดอับสายตา และระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน
- FCM: ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว ป้องกันความเสี่ยงที่จะชนรถคันหน้า และสบายใจกว่าด้วยการลดความเร็วเพื่อบรรเทาความเสียหายจากการชน
- ACC: ระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติถึงจุดหยุดนิ่ง ระบบจะสามารถล็อคความเร็วตามที่กำหนด และรักษาความเร็วให้คงที่ตามรถคันหน้า ตลอดจนช่วยเบรกจนถึงความเร็ว 0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพิ่มความสะดวกสบาย และปลอดภัยยิ่งขึ้นเมื่อต้องขับขี่ทางไกล
- AHB: ระบบควบคุมไฟสูงโดยอัตโนมัติ สะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น
- RCTA: ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด ระบบจะส่งสัญญาณเตือน เมื่อพบว่ามีวัตถุเคลื่อนไหวด้านหลังรถ ขณะกำลังถอยรถออกจากช่องจอด
นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยแบบ Passive safety ด้วยการติดตั้งถุงลม 6 ตำแหน่ง มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในห้องโดยสารด้วย
MITSUBISHI e:MOTION
หัวใจสำคัญของ มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี คือ MITSUBISHI e:MOTION ประสบการณ์การขับขี่จากการผสาน 3 เทคโนโลยีล้ำหน้า ได้แก่ ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดเจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (AYC) ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดเจนเนอเรชันใหม่ ได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) อันโดดเด่นของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส และพัฒนาต่อยอดจากรถยนต์ฟูลไฮบริดรุ่นแรกอย่างเอ็กซ์แพนเดอร์ให้ประสิทธิภาพการส่งกำลังที่ดียิ่งขึ้นให้การขับขี่เต็มพลังและนุ่มนวลขึ้นในหลากหลายรูปแบบเส้นทาง อีกทั้งยังเพิ่มกลไกตัดการเชื่อมต่อของมอเตอร์ซึ่งมีส่วนลดการสูญเสียพลังงานได้มาก ประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้รถมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 24.4 กิโลเมตร/ลิตร* ขยายความคือรถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมระบบส่งกำลัง 2-Speed Transaxle โดยการขับเคลื่อนในแบบไฮบริดจะให้ความเงียบและมีอัตราเร่งที่จัดจ้านทั้งในการขับขี่บนถนนไฮเวย์ และในเส้นทางขึ้นลงพื้นที่เนินลาดชัน นอกจากนี้ มอเตอร์ไฟฟ้า เจเนอเรเตอร์ และระบบส่งกำลัง ยังได้รับการออกแบบให้ทำงานผสานกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้มีการทำงานที่เงียบลดเสียงรบกวนอย่างดีให้ประสบการณ์การขับขี่เสมือนรถไฟฟ้าโดยเฉพาะในจังหวะที่ใช้โหมด EV
ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดรุ่นล่าสุดมีทั้งการขับขี่แบบ EV DRIVE การขับขี่แบบ HYBRID-SERIES การขับขี่แบบ HYBRID-PARALLEL การขับขี่แบบ HYBRID–MOTOR DISCONNECTED และการขับขี่แบบ POWER REGENERATIVE โดยระบบจะปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่โดยอัตโนมัติตามสภาพการขับขี่และปริมาณพลังงานที่เหลืออยู่ในแบตเตอรี่ เพื่อให้ได้ทั้งประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงและการขับขี่ที่มีพลังเร้าใจด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
- ขณะออกตัว ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 100% เงียบและใช้พลังงานสะอาด ปราศจากการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซ CO2
- ขณะเร่งความเร็วหรือขับด้วยความเร็วปานกลาง ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยเครื่องยนต์จะทำงานเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกำลังในการขับเคลื่อน ซึ่งจะตัดสลับกับ EV DRIVE เมื่อพลังงานในแบตเตอรี่เพียงพอ
- ขณะขึ้นทางชัน หรือขึ้นเขา เมื่อต้องการพละกำลังในการขึ้นทางชันหรือขึ้นเขา ระบบจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ในอัตราทด LOW (เช่นเดียวกับเกียร์ต่ำ) เพื่อเพิ่มพละกำลัง และประสิทธิภาพการจัดการพลังงานในแบตเตอรี่ให้ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันเครื่องยนต์ยังคงสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง และจะตัดสลับกับ HYBRID-SERIES ตามความเหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนและประหยัดน้ำมัน
- ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงหรือคงที่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ในอัตราทด HIGH (เช่นเดียวกับเกียร์สูง) และเมื่อขับที่ความเร็วคงที่จะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เป็นหลัก และตัดภาระการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าออก เพื่อลดภาระในการทำงานของเครื่องยนต์ อีกทั้งเจเนอเรเตอร์ยังช่วยในการขับเคลื่อน ทำให้ประหยัดน้ำมันได้ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันเครื่องยนต์ยังคงสร้างกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง และจะตัดสลับกับ HYBRID-SERIES หรือ EV DRIVE ตามความเหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนและประหยัดพลังงาน
- ขณะลดความเร็วหรือลงทางชัน ระบบจะเปลี่ยนพลังงานจากการชะลอความเร็วหรือเบรกเป็นพลังงานไฟฟ้าและนำกระแสไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่
ระบบ HEV นี้ช่วยให้สามารถขับขี่ได้เงียบ สะอาดแบบรถ EV และยังรองรับการเดินทางระยะไกลโดยไม่ต้องกังวลเรื่องพลังงานแบตเตอรี่หมดอีกด้วย
ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ซ เอชอีวี มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษสำหรับรถยนต์ไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.6 ลิตร MIVEC DOHC 16 วาล์ว ซึ่งใช้งานครั้งแรกในเอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี พร้อมทั้งกำลังขับเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งปั๊มน้ำไฟฟ้าเพื่อลดการสูญเสียพลังงานจากระบบขับเคลื่อนเสริม (Auxiliary Drive Loss) ส่งผลให้ประสิทธิภาพเชิงความร้อนของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นมากกว่า 40% ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้ดียิ่งขึ้น เมื่อทำงานร่วมกับเจเนอเรเตอร์และมอเตอร์ที่มีกำลังสูงสุด 85 กิโลวัตต์ มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี จึงสามารถอัตราเร่งที่ราบรื่น มีพลัง และตอบสนองฉับไว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์พลังงานใหม่
โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ
อีกหนึ่งเทคโนโลยีสำคัญที่ทำให้ Mitsubishi e:MOTION มอบประสบการณ์การขับขี่ที่โดดเด่น คือโหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจในทุกสภาพอากาศและสภาพเส้นทาง
โดยแบ่งเป็นโหมดการขับขี่แบบรถไฟฟ้า 2 รูปแบบ และโหมดการขับขี่อีก 5 รูปแบบสภาพเส้นทาง ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัสผ่านสวิตซ์ที่คอนโซลกลาง โดยระบบจะควบคุมเบรก การตอบสนองของเครื่องยนต์ มอเตอร์ และพวงมาลัย จะทำงานร่วมกันเพื่อให้การขับขี่ปลอดภัยบนสภาพถนนที่หลากหลายซึ่งเหมาะกับสภาพถนนในประเทศไทยและสถานที่อื่นๆ
โหมด EV Priority และโหมด Charge ช่วยให้ผู้ขับขี่เลือกขับขี่ในโหมด EV ตามสถานการณ์ได้
- EV Priority Mode ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์โดยไม่ต้องสตาร์ตเครื่องยนต์ โหมดนี้มีความเงียบและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องเสียงรบกวนเมื่อต้องขับขี่ในบริเวณที่ต้องการความสงบ
- Charge Mode ใช้เครื่องยนต์ชาร์จแบตเตอรี่เมื่อพลังงานเหลือน้อยในขณะขับ หรือจอดรอได้ เพื่อให้สามารถใช้โหมด EV ได้นานขึ้น
5 โหมดการขับขี่อื่นๆ ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมรถตามสภาพถนน ด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหน้าพร้อมเทคโนโลยีควบคุมต่างๆ ได้แก่
- Active Yaw Control (AYC): ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง ควบคุมแรงขับ และแรงเบรกของล้อหน้าแต่ละข้างเพื่อเพิ่มการทรงตัวและการควบคุมให้ปลอดภัยและมั่นใจยิ่งขึ้น
- Traction Control System (TCL): ระบบป้องกันการลื่นไถล ป้องกันล้อหมุนฟรี
- Active Stability Control (ASC): ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว
- Electric Power Steering: พวงมาลัยไฟฟ้า ปรับน้ำหนักตามความเร็วและสภาพถนน
ทั้ง 5 โหมดการขับขี่ ช่วยให้สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยในทุกสภาพอากาศและถนน
- Normal Mode: เหมาะกับการขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
- Tarmac Mode: สำหรับถนนลาดยาง เพิ่มความว่องไวและการควบคุมที่แม่นยำบนถนนคดเคี้ยว ให้พละกำลังเช่นเดียวกับ Sport Mode
- Gravel Mode: สำหรับถนนลูกรัง ลดอาการลื่นไถลและเพิ่มความมั่นคงบนถนนลูกรัง
- Mud Mode: สำหรับถนนโคลน ให้การยึดเกาะที่ดีขึ้นแม้ในสภาพถนนที่เป็นโคลนและขรุขระ
- Wet Mode: สำหรับถนนเปียกลื่นลดการลื่นของยางและเพิ่มเสถียรภาพแม้ในสภาพฝนตกหนัก
จอแสดงผลการขับขี่ LCD ขนาด 8 นิ้ว สามารถเลือกแสดงข้อมูลเฉพาะสำหรับระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดอย่างชัดเจน เช่น ระดับพลังงาน แสดงสถานะ Eco, Power และ Charge สอดคล้องกับการควบคุมคันเร่ง การไหลเวียนของพลังงาน อัตราส่วนการขับขี่ด้วยไฟฟ้า และระดับพลังงานที่เหลือในแบตเตอรี่ และสามารถปรับเปลี่ยนหน้าจอได้ 2 รูปแบบ
ตารางข้อมูลเทคนิค SPECIFICATION | |||
มิติตัวรถ |
|
| |
ความยาวตลอดคัน | มม. | 4,390 | |
ความกว้างตลอดคัน | มม. | 1,810 | |
ความสูง | มม. | 1,650 | |
ระยะฐานล้อ | มม. | 2,650 | |
ความกว้างช่วงล้อหน้า | มม. | 1,565 | |
ความกว้างช่วงล้อหลัง | มม. | 1,565 | |
ระยะต่ำสุดถึงพื้น | มม. | 183 | |
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด | ม. | 5.2 | |
เครื่องยนต์ |
|
| |
รหัสเครื่องยนต์ | 4A92 | ||
แบบเครื่องยนต์ | 4 สูบ MIVEC DOHC 16 วาล์ว | ||
ปริมาตรกระบอกสูบ | ซีซี | 1,590 | |
ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก | มม. | 75.0 x 90.0 | |
อัตราส่วนกำลังอัด | 14 : 1 | ||
กำลังสูงสุด | กิโลวัตต์ (แรงม้า) / รอบต่อนาที | 79 (107) / 6,000 | |
แรงบิดสูงสุด | นิวตันเมตร / รอบต่อนาที | 134 / 4,500 | |
ระบบเชื้อเพลิง |
|
| |
ชนิด | หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ ECI-MULTI 32 Bit | ||
ชนิดน้ำมันแนะนำ | แก็สโซฮอล์ E20 | ||
ความจุถังน้ำมัน | ลิตร | 42 | |
มอเตอร์ไฟฟ้า |
|
| |
กำลังสูงสุด | กิโลวัตต์ (แรงม้า) | 85 (116) | |
แรงบิดสูงสุด | นิวตันเมตร | 255 | |
แบตเตอรี่ไฮบริด |
| ||
ชนิดแบตเตอรี่ | Lithium-ion |
ระบบส่งกำลัง |
|
| |
ชนิด | 2-Speed Transaxle | ||
อัตราทดระบบส่งกำลัง | High 3.384, Low 4.588 | ||
อัตราทดเครื่องยนต์ | 2.107 | ||
อัตราทดมอเตอร์ไฟฟ้า | 9.215 | ||
ระบบบังคับเลี้ยว |
|
| |
แบบ | แร็คแอนด์พิเนียน พร้อมระบบเพาเวอร์ควบคุมด้วยไฟฟ้า | ||
ระบบกันสะเทือน |
|
| |
หน้า | แบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง และ เหล็กค้ำหัวโช้ค | ||
หลัง | ทอร์ชันบีม | ||
ระบบเบรก |
|
| |
หน้า | ดิสก์เบรก แบบมีช่องระบายความร้อน | ||
หลัง | ดิสก์เบรก | ||
ล้อและยาง |
|
| |
ขนาดล้ออัลลอย | 18″ x 7.0J แบบทูโทน | ||
ขนาดยาง | 225/50 R18 |
ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่
รุ่น Ignite ราคา 899,000 บาท
มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาวมุก (White Diamond) สีเงิน (Blade Silver) และสีเทา (Graphite Grey)
รุ่น Ultimate ราคา 1,039,000 บาท
มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาวมุก (White Diamond) หลังคาดำ สีเงิน (Blade Silver) สีเทา (Graphite Gray) และสีดำ (Jet Black Mica)
รุ่น Ultimate X ราคา 1,089,000 บาท
มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีขาวมุก (White Diamond) หลังคาดำ สีเทา (Graphite Gray) หลังคาดำ สีเหลือง (Energetic Yellow) หลังคาดำ สีแดง (Spirit Red) หลังคาดำ และสีดำ (Jet Black Mica)