คาร์ออลสไตล์ ครบเครื่อง เรื่องรถ

TESTDRIVE

ลองของ ‘ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่… Where We Belong’ ยนตรกรรมอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง มอบประสบการณ์การเดินทางสำหรับทุกคนในครอบครัว

ฮอนด้า บีอาร์-วี เปิดตัวสู่ตลาดประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2558 ในฐานะยนตรกรรมสปอร์ตอเนกประสงค์ที่เข้ามาเติมเต็มไลน์อัพรถเอสยูวีของฮอนด้า ให้ครอบคลุมทุกความต้องการของตลาด และตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น พัฒนาโดยทีมวิศวกรจากบริษัท ฮอนด้า อาร์แอนด์ดี เอเชีย แปซิฟิค จำกัด ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ด้วยการผสานจุดเด่นของรถเอ็มพีวีและเอสยูวีไว้อย่างกลมกลืน ภายใต้ดีไซน์ที่เข้มแข็งสไตล์สปอร์ต พร้อมพื้นที่ใช้สอยที่พอเพียงสำหรับทุกที่นั่ง พร้อมการนำเสนอคุณค่าใหม่และฟังก์ชันการใช้งานที่ครอบคลุม เติมเต็มความต้องการของผู้ใช้รถอเนกประสงค์เอสยูวีขนาดกระทัดรัดให้ครบถ้วนยิ่งขึ้น พร้อมตอบรับการใช้งานในทุกการเดินทาง

ผมและเพื่อนสื่อมวลชนมีโอกาสได้ลองขับ ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ แบบใช้ในชีวิตประจำวัน บนเส้นทางกรุงเทพฯ – นครนายก – สระบุรี มากกว่า 300 กิโลเมตรที่บางช่วงบางตอนอาจต้องขออภัยในบ้างลีลาสำหรับเพื่อนร่วมทาง เนื่องจากบางช่วงของการลองขับผมอาศัยจังหวะชุนละมุนลองสมรรถนะของ บีอาร์ – วี ใหม่ ในสไตล์ไฮสปีด ซึ่งก็สามารถตอบสนองได้เกินความคาดหมาย สำหรับการเกิดมาเป็นรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง เมื่อรวมกับคุณสมบัติที่ตอบสนองใช้งานได้มากกว่ารถยนต์นั่ง ความประหยัดที่ตรงตามพิกัดที่แจ้งกับผู้บริโภค ( 16.1 กม./ ลิตร แม้ราคาจะตรึงๆ ในระดับเกินเก้าแสนบาท ทว่าเมื่อเทียบกับคู่ปรับในตลาดใกล้เคียงกัน ด้วยความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ตัวผลิตภัณฑ์ มาตรฐานการบริหารหลังการขาย เชื่อว่า ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ เจเนอเรชันที่ 2 จะได้รับการตอบรับจากแฟนเก่าที่เคยใช้เจเนอเรชั่นแรก รวมถึงคอรถอเนกประสงค์ขนาดกะทัดรัดที่ต้องการความมั่นใจ เชื่อใจได้ในคุณภาพสำหรับทุกการเดินทาง

การมาถึงของ ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ เจเนอเรชันที่ 2 ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2565 พร้อมๆ กับการนำเสนอคุณค่าใหม่ด้วยดีไซน์ที่เฉียบคมแข็งแกร่ง ให้การขับเคลื่อนอย่างมีพลังเมื่อเทียบกับรถอเนกประสงค์ในระดับเดียวกัน ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 121 แรงม้า ส่งกำลังอย่างราบรื่นและต่อเนื่องผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติแบบแปรผันต่อเนื่อง CVT พร้อมสมรรถนะที่ได้รับการยกระดับในทุกๆ ด้านเมื่อเทียบกับรุ่นแรก ทั้งสมดุลในการขับขี่ ระบบช่วงล่าง การตอบสนองในการควบคุมรถ อีกทั้งยังให้ความมั่นใจในทุกขณะเดินทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ในทั้ง สองเกรด E และ EL พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอื่นๆ อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ถุงลม 6 ตำแหน่ง*

ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง มาพร้อมความอเนกประสงค์โดยเบาะนั่งผู้โดยสารแถวที่ 2 และแถวที่ 3 สามารถปรับพับได้หลายรูปแบบ ครบครันด้วยอุปกรณ์เพื่อความสะดวกสบายและฟังก์ชันการใช้งานที่เชื่อมต่อกับรถ อาทิ มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Smartphone และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) พร้อมเป็นยนตรกรรมที่ส่งมอบประสบการณ์การเดินทางได้อย่างหลากหลายรูปแบบ รวมเป็นพาหนะที่พร้อมสร้างช่วงเวลาแห่งความสุขให้แก่ทุกคนในครอบครัว

ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิดหลัก “Jetliner Cross” สะท้อนประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายประหนึ่งการโดยสารไพรเวตเจ็ต ด้วยการผสานดีไซน์สไตล์สปอร์ต สมรรถนะ และพละกำลัง พร้อมด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เพื่อยกระดับ บีอาร์-วี ใหม่ สู่การเป็นพรีเมียมเอสยูวี โดยผสานคุณค่าจาก 3 ด้านหลักๆ ได้แก่

1. คุณค่าของความเป็นรถเอสยูวี (SUV Value) รูปลักษณ์ที่แข็งแกร่ง แต่ยังคงความสปอร์ตพรีเมียม
2. คุณค่าของความเป็นรถเอ็มพีวี (MPV Value) ห้องโดยสารที่กว้างขวาง สะดวกสบายทุกที่นั่ง มาพร้อมความอเนกประสงค์ ตอบโจทย์การใช้งานและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย
3. ความเพลิดเพลินในการขับขี่ (Driving Pleasure) การขับขี่ที่สนุกซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ฮอนด้าทุกรุ่น มอบการขับขี่ที่สนุกสนานเร้าใจ ขณะเดียวกันยังประหยัดน้ำมัน และมอบความนุ่มนวลระหว่างการเดินทางความลงตัวของรูปลักษณ์ สู่ลุคสปอร์ตพรีเมียม ลงตัวในทุกมิติ

ดีไซน์ภายนอก ออกแบบภายใต้แนวคิด “Sleekness on Cross Motion” ด้วยการใช้เส้นสายด้านข้างตัวรถที่ลากยาวต่อเนื่องจากด้านหน้าสู่ด้านท้าย สะท้อนความปราดเปรียวและความแข็งแกร่งทรงพลังไปพร้อมๆ กัน เสริมด้วยล้อและยางขนาดใหญ่ที่สะท้อนความเป็นเอสยูวีชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถสัมผัสได้ถึงความกว้างขวางสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร แม้เพียงมองจากภายนอก

• กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ สะท้อนความโดดเด่นยิ่งขึ้นในรุ่น EL ที่มาพร้อมสี Piano Black
• กันชนหน้าและหลังดีไซน์ใหม่ ตกแต่งสีเงิน (รุ่น EL)
• ไฟหน้าและไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED
• ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED (รุ่น EL)
• กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า พร้อมพับเก็บอัตโนมัติ (รุ่น EL)
• คิ้วตกแต่งสเกิร์ตข้างสีเงิน (รุ่น EL)
• ราวหลังคาตกแต่งแบบสปอร์ต
• เสาอากาศแบบครีบฉลาม
• ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 17 นิ้ว (รุ่น EL) และขนาด 16 นิ้ว (รุ่น E)

ตอบสนองทุกการเดินทาง ด้วยสมรรถนะทรงพลังและนุ่มนวล
เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ผสานกับระบบเกียร์ CVT ให้กำลังสูงสุด 121 แรงม้า ที่ 6,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 145 นิวตัน-เมตรที่ 4,300 รอบต่อนาที ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างคล่องตัว มอบอัตราการประหยัดน้ำมัน 16.1 กม./ลิตร รองรับพลังงานทางเลือก E20

รวมถึงการเป็นรถอเนกประสงค์เอสยูวีอย่างชัดเจนกว่าคู่ปรับในตลาดทั้ง Mitsubishi Xpender และ Toyota Veloz มาจากความกว้างของช่วงล้อจากซ้ายถึงขวา และความยาวของระยะฐานล้อที่เพิ่มขึ้น ช่วยเพิ่มการทรงตัวที่มั่นคงในสไตล์เอสยูวี เสริมด้วยความสูงใต้ท้องรถที่เพิ่มขึ้น และขนาดล้อยางที่ใหญ่ขึ้น และที่สำคัญโครงสร้างของตัวถังที่ให้ความสมดุลได้อย่างลงตัวกับอรรถประโยชน์แบบรถเอ็มพีวี โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างและอุปกรณ์ด้านการเก็บเสียงและความสั่นสะเทือน หรือ NV เพื่อให้ห้องโดยสารมีความรู้สึกสบายและเงียบมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการใช้แผ่นดูดซับการสั่นสะเทือนที่ตัวเบาะ รวมทั้งการเพิ่มพนักเท้าแขน มาพร้อมระบบปรับอากาศที่เย็นสบายสามารถทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการนั่งโดยสารได้มากขึ้นรวมทั้งทำให้ได้มาซึ่งความเพลิดเพลินในการขับขี่ (Driving Pleasure) ทั้งระบบส่งกำลัง ระบบพวงมาลัย และระบบช่วงล่าง ฯลฯ

ครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย เพิ่มความอุ่นใจในการเดินทาง
ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลักๆ ดังนี้


* ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
ระบบช่วยเตือนผู้ขับขี่ให้ลดความเร็วเมื่อมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน หรือคนเดินถนนที่อยู่ในระยะไม่ปลอดภัยโดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง ซึ่งหากผู้ขับขี่ยังไม่ตอบสนอง หรือในกรณีที่อยู่ในระยะเสี่ยงต่อการชน ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ

*ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
กล้องด้านหน้าจะทำการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ ซึ่งระบบจะช่วยเพิ่มแรงหน่วงของพวงมาลัย เพื่อช่วยผู้ขับขี่ควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางปกติ และลดอาการเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ โดยระบบจะทำงานเมื่อรถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 72 กม./ชม. ขึ้นไป

* ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC)
ระบบช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ผู้ขับขี่ตั้งค่าไว้ และระบบจะปรับความเร็วอัตโนมัติโดยมีกล้องตรวจจับรถคันหน้าเพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม โดยระบบจะทำงานเมื่อรถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 30 กม./ชม. ขึ้นไป

*ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
ระบบจะใช้กล้องด้านหน้าในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางจราจร หากพบว่ารถอยู่ในสภาวะเบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอแสดงข้อมูลพร้อมการสั่นเตือนของพวงมาลัย และในกรณีที่รถเริ่มเบี่ยงออกนอกช่องทางมากยิ่งขึ้น ระบบจะช่วยหน่วงพวงมาลัย เพื่อให้รถกลับเข้าสู่ช่องทางปกติ ช่วยลดความเสี่ยงที่รถจะออกนอกช่องทางจราจร โดยระบบจะทำงานเมื่อรถยนต์วิ่งอยู่ที่ความเร็ว 72 กม./ชม. ขึ้นไป

* ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติด้วยกล้อง โดยจะปรับเป็นไฟสูงเมื่อขับขี่ในที่มืด และจะปรับเป็นไฟต่ำเมื่อตรวจจับได้ว่ามีรถสวนทางหรือรถยนต์ด้านหน้า นอกจากนี้ ระบบจะปรับไฟหน้าเป็นไฟสูงโดยอัตโนมัติเมื่อขับขี่ในเส้นทางที่มืดหรือในเวลากลางคืน โดยจะทำงานที่ความเร็ว 30 กม./ชม. ขึ้นไป

* ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
ระบบที่ตรวจจับการเคลื่อนที่ของรถคันหน้า โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง เพื่อให้ผู้ขับขี่เคลื่อนที่ตามรถคันหน้า โดยระบบจะทำงานเมื่อตรวจพบรถคันหน้ามีการเคลื่อนที่ ในสภาวะที่รถอยู่ห่างกันภายในระยะ 10 เมตร และรถของผู้ขับขี่ไม่มีการเคลื่อนที่
พร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอื่นๆ* อาทิ
• ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
• ถุงลม 6 ตำแหน่ง (รุ่น EL) ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS) ถุงลมด้านข้างคู่หน้า (Side Airbags) และม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags)
• ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) โดยประตูรถจะล็อกโดยอัตโนมัติเมื่อผู้ขับขี่เดินออกห่างจากตัวรถขณะที่ถือกุญแจรีโมทอยู่ ซึ่งระบบจะมีเสียงและไฟกระพริบเตือนเพื่อยืนยันว่ารถล็อก
• ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder) ที่มีการติดตั้งเป็นครั้งแรกในรถระดับนี้ โดยเป็นการแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่ตรวจสอบผู้โดยสารหรือสิ่งของที่เบาะด้านหลัง ผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียงเมื่อดับเครื่องยนต์

• ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติตามความเร็วรถ (Auto Door Lock By Speed)
• กล้องส่องภาพด้านหลัง
• สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
• ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)
• ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)
• ระบบป้องกันล้อล็อกและระบบกระจายแรงเบรก (ABS & EBD)
• โครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON และ ACETM ช่วยปกป้องห้องโดยสารจากการชนรอบทิศทาง
• จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX & Child Anchor)

ห้องโดยสารโปร่งโล่งสบาย สร้างสุนทรียภาพระหว่างเดินทาง
ภายในห้องโดยสารออกแบบภายใต้แนวคิด “Pride & Confidence” สะดวกสบายทุกที่นั่ง อีกทั้งทัศนวิสัยที่กว้างไกลในสไตล์รถเอสยูวี เลือกใช้วัสดุที่สะท้อนความพรีเมียม และความอเนกประสงค์ของพื้นที่ภายในห้องโดยสารไว้ชัดเจน บริเวณคอนโซลกลางออกแบบเพื่อมอบพื้นที่ความเป็นส่วนตัวสำหรับคนขับ ฟังก์ชันการใช้งานได้รับการจัดวางอย่างเหมาะสม พร้อมพื้นที่ใช้สอย และช่องเก็บของที่หลากหลาย ยกระดับความพรีเมียมด้วยวัสดุตกแต่งคอนโซลแบบ Piano Black พร้อมเบาะหนังแท้และวัสดุหนังสังเคราะห์ในทุกรุ่นย่อย ตอบรับไลฟ์สไตล์ด้วยห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายที่มากกว่าเจเนอเรชันก่อน พร้อมเบาะนั่งผู้โดยสารแถวที่ 2 และแถวที่ 3 ที่สามารถปรับพับเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ได้หลากหลายรูปแบบ เบาะนั่งแถวที่ 2 มีพื้นที่ช่วงขากว้างขึ้น โดยสามารถปรับพับแยกในสัดส่วน 60:40 พับตลบจังหวะเดียว (One Motion) โดยสามารถปรับเลื่อนหน้า-หลัง และ พนักพิงปรับเอนได้ 3 ระดับ เบาะนั่งแถวที่ 3 มีพื้นที่ช่วงขากว้างขึ้น โดยสามารถพับแยกแบบ 50:50 และพนักพิงปรับเอนได้2 ระดับ

• มาพร้อมระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) ที่สามารถสั่งการได้จากระยะไกล โดยระบบจะสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ล่วงหน้าก่อนการขับ และระบบปรับอากาศจะเริ่มทำงานทันที เพื่อช่วยอุ่นเครื่องและปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารให้เย็นสบายล่วงหน้าก่อนออกเดินทาง ในขณะเดียวกันประตูรถยังคงล็อกอยู่เช่นเดิมและรถจะไม่สามารถออกตัวได้จนกว่าผู้ขับขี่จะทำการสตาร์ทรถตามปกติ
• ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
• ที่วางแก้วน้ำ 8 ตำแหน่ง
• พนักเท้าแขนด้านหน้าและด้านหลัง

ตอบโจทย์การใช้งาน สะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่และความบันเทิงที่เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียว
• มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว
• ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) (รุ่น EL)
• ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Smartphone และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto
• พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์
• ช่องเชื่อมต่อ USB 2 ตำแหน่ง
• ช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง (รุ่น E) และ 3 ตำแหน่ง (รุ่น EL)
• ลำโพง 4 ตำแหน่ง (รุ่น E) และ 6 ตำแหน่ง (รุ่น EL

รุ่นและราคา
ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น EL และ รุ่น E 
รุ่น EL สีดำคริสตัล (มุก) 973,000 บาท  สีขาวพรีเมียมซันไลท์ (มุก) 977,000 บาท 
รุ่น E สีขาวทาฟเฟต้า  915,000 บาท สีดำคริสตัล (มุก) 921,000 บาท –

สี
สีภายนอก มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาวพรีเมียมซันไลท์ (มุก) (เฉพาะรุ่น EL) สีดำคริสตัล (มุก) และสีขาวทาฟเฟต้า (เฉพาะรุ่น E)

สำหรับสีภายใน รุ่น EL จะมาพร้อมสีดำ และ รุ่น E มาพร้อมสีภายในสีทูโทน
(ดำ/มอคค่าเกรย)

 

สรุปว่า สำหรับตลาดรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งขนาดกะทัดรัด ซึ่งเป็นรถยนต์นำเข้าล้วนๆ จากอินโดนิเซีย ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ มีความเป็น SUV มากกว่า มีพลังและสไตล์ที่เฉียบคมกว่าคู่ปรับอีกสองรุ่นในตลาดที่จะมีพื้นฐานเป็นแบบ MPV อยู่ที่ว่าคุณจะเน้นการใช้งานแบบไหนมากกว่า เพราะ ฮอนด้า บีอาร์ – วี ใหม่ เข้มข้นพร้อมลุยไปได้อย่างมีความอุ่นใจทุกเส้นทาง

 

ชุดอุปกรณ์ตกแต่ง
เสริมความพรีเมียมและประโยชน์ใช้สอยในสไตล์รถ SUV อีกขั้น ด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่ง ที่มาพร้อมแนวคิด “Premium & Utility” โดยมีไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก อาทิ คิ้วตกแต่งฝากระโปรงท้าย ราคา 1,900 บาท
คิ้วกันสาด ราคา 2,600 บาท คิ้วตกแต่งซุ้มล้อด้านหน้า ราคา 1,800 บาท คิ้วตกแต่งกระจกมองข้าง ราคา 800 บาท ปลอกท่อไอเสียสเตนเลส ราคา 580 บาท ม่านบังแดดผู้โดยสารตอนหลัง ราคา 2,500 บาท เป็นต้น หรือเลือกความคุ้มค่าในรูปแบบแพ็กเกจ โดยมีให้เลือกทั้งหมด 2 แพ็กเกจ ได้แก่
• Utility Package ราคา 2,950 บาท ประกอบด้วย แผ่นกันรอยเบาะพนักพิงหลัง และกระบะใส่ของท้ายรถ
• Value Package ราคา 1,050 บาท ประกอบด้วย ปลอกท่อไอเสียสเตนเลส และคิ้วบันไดสเตนเลส
สามารถดูรายละเอียดอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมได้ที่ https://hondaaccess.co.th/th/line-up/honda-brv/

 

หมายเหตุ:
– *อุปกรณ์มาตรฐานแตกต่างกันในแต่ละรุ่น
– ราคาอุปกรณ์ตกแต่ง ไม่รวม VAT 7%

รวมข่าวในหมวดเดียวกัน

ทดสอบสมรรถนะ “ฮอนด้า ซีวิค ใหม่” ไอคอนสปอร์ตพรีเมียมซีดาน สัมผัสความเร้าใจ และประหยัดของระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV พร้อมมั่นใจตลอดเส้นทางด้วย Honda SENSING ทุกรุ่น จากกรุงเทพฯ สู่เขาใหญ่

Read More »