มาสด้า เดินหน้าบุกตลาดรถครอสโอเวอร์เอสยูวีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลผลิตสายพันธุ์ CX-SERIES ที่มีมากถึง 4 รุ่นหลัก ไล่ระดับตั้งแต่ CX-3, CX-30, CX-5 และรุ่นใหญ่อย่าง CX-8 ซึ่งเท่าที่ผ่านมาจากการทำตลาดของ CX–SERIES ทำให้ตลาดในบ้านเรารับรู้ว่าโมเดล CX-30 ล่าสุดที่เราทดลองขับอีกครั้งได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่พี่น้อง บางคนอาจมองว่าน่าจะเป็นตัวแทน CX-3 คนโสดที่กำลังลังเลกับการมีครอบครัว ถ้าอย่างนั้น CX-30 จึงเป็นตัวแทนของคนรักครอบครัว
MAZDA CX-30 นับเป็นครอสโอเวอร์เอสยูวีเจเนอเรชั่นใหม่ ที่เข้ามาเติมเต็มตลาดรถอเนกประสงค์ของมาสด้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ขนาดของตัวรถจัดอยู่ในกลุ่ม ซี-เอสยูวี เช่นเดียวกับคู่แข่งหลัก ทั้ง HONDA HR-V , MG HS , Haval Jolion รวมถึง TOYOTA COROLLA CROSS ซึ่งมาสด้ามั่นใจว่า CX-30 สามารถต่อกรกับคู่แข่งได้ไม่ยาก ด้วยห้องโดยสารมีความกว้างขวางสะดวกสบาย แถมยังมีสมรรถนะความแรงจากเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในคลาสเป็นข้อได้เปรียบด้านการขับขี่ ขณะที่ราคาค่าตัว MAZDA CX-30 รุ่นท็อป 2.0 SP ที่เราทดลองขับราคาอยู่ที่ 1,199,000 บาท เมื่อลองเทียบกับเจ้าตลาดอย่าง TOYOTA COROLLA CROSS Hybrid Premium Safety รุ่นท็อปเช่นเดียวกันราคาใกล้เคียงกันมาก สำหรับผมมองว่าคู่นี้สู่สีกันมาก ขับแล้วชอบกดแล้วใช่ เลือกคันไหนก็ได้ มีดีกันคนละแบบ มาสด้าจะเด่นที่สมรรถนะ และฟิลลิ่งในการขับขี่ที่เอาใจคนขับมากๆ แต่โตโยต้า โคโรลล่า ครอส เด่นด้านความกว้างขวางสะดวกสบายของห้องโดยสาร พร้อมความประหยัดจากระบบไฮบริด ชอบรุ่นไหน แค่เลือกให้ตรงใจ และตรงกับความต้องการในการใช้งานก็จบสวย
MAZDA CX-30 ถือเป็นครอสโอเวอร์สายหล่อ สามารถดึงดูดสายตาให้ตราตรึงตั้งแต่แรกเห็น ภายใต้ โคโดะ ดีไซน์ ตามคอนเซ็ปต์ “Less is More” เรียบง่ายแต่งดงาม โดยยึดโครงสร้างพื้นฐานโดยรวมทั้งหมดจาก MAZDA 3 โมเดลล่าสุด ทั้งโครงสร้างตัวถัง สไตล์การออกแบบภายนอก และภายในห้องโดยสาร รวมถึงเครื่องยนต์ ช่วงล่าง ระบบเบรก เพียงแต่มีการปรับจูนใหม่ให้เหมาะเจาะกับคุณลักษณะที่ดีของการเป็นครอสโอเวอร์เอสยูวี และคันที่เราขับยังโดดด้วยสีใหม่ล่าสุด Platinum Quartz สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ โดยเป็นสีที่แสดงออกถึงความมีคุณภาพสูง ด้วยผลึกกึ่งโปร่งแสงจากควอตซ์ที่ขาวละเอียด นวลเนียน และมีคุณภาพ สะท้อนตัวตนอันมีเอกลักษณ์ของผู้ขับขี่ มีความแตกต่างไม่ซ้ำใคร ให้ความรู้สึกหรูหรา ทรงพลัง และสง่างามมากยิ่งขึ้น
ตัวถังยกสูงกว่ารถเก๋ง ซึ่งวัดจากพื้นถนนระยะต่ำสุดอยู่ที่ 175 มม.(ทำให้มันสูงกว่า CX-3 อยู่ 15 มม.) จึงรองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบเส้นทางมากขึ้น และในรุ่นท็อปจะใช้ล้อแม็กลายสวยเรียบขนาด 18 นิ้ว กับยางขนาด 215/55 R18 ถือว่าขนาดยางกำลังดีให้ความเหมาะสมต่อการขับขี่ใช้งานทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวันทั้งนอกและในเมือง
จากแนวคิดการออกแบบ โคโดะ เจเนอเรชั่นใหม่ เส้นสายตัวถังจะดูเรียบง่าย กลมกลืนสอดรับกันต่อเนื่องตลอดคัน พร้อมตกแต่งเพิ่มเติมด้วยกาบข้างและโป่งล้อขนาดพอเหมาะในสไตล์รถครอสโอเวอร์เอสยูวีที่ดูดุดัน โดยเน้นการตกแต่งด้วยวัสดุสีดำด้านยาวต่อเนื่องรอบคัน ตั้งแต่ชายกันชนหน้า โป่งล้อ ชายกาบตัวถังด้านข้าง ทอดยาวไปจนถึงชายกันชนหลัง บ่งบอกถึงบุคลิกการเป็นรถสายลุยที่แตกต่างจากรถยนต์นั่งอย่างชัดเจน
การดีไซน์จากภายนอกสะท้อนสู่ภายห้องโดยสาร ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ยังรับรู้ได้ถึงความพิถีพิถัน ด้วยการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงเน้นความหรูหรา พร้อมความสะดวกสบายทั้งในตำแหน่งการขับขี่ และผู้โดยสารทุกที่นั่ง ซึ่งมีความกว้างขวาง โปร่งสบายมากกว่า CX-3 อย่างชัดเจน ซึ่งห้องโดยสารถูกพัฒนาตามหลักปรัชญา HUMAN CENTRIC PHILOSOPHY ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งที่ออกแบบให้โอบกระชับรองรับกับสรีระ ช่วยให้กระดูกเชิงกรานตั้งตรง แนวกระดูกสันหลังคงรูปตัว S เสมือนขณะกำลังเดิน พวงมาลัยและคันเร่งได้รับการจัดวางอย่างลงตัว ให้ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถ รวมถึงฟังก์ชั่น และการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถอยู่ในตำแหน่งที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตาจากถนนเพิ่มความสะดวกสบาย และความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ตัวท็อปของ MAZDA CX-30 เกรด 2.0 SP มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พวงมาลัยมัลติฟั่งชั่นแบบ 3 ก้านหุ้มหนัง รูปทรงเหมือน MAZDA 3 หนานุ่มจับถนัดมือ แผงหน้าปัด และมาตรวัดความเร็วแบบดิจิตอล TFT LCD หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสีบนกระจกหน้าช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตาจากถนน สามารถเชื่อมต่อการสื่อสารแบบไร้ขีดจำกัดด้วย Mazda Connect รองรับ Apple CarPlay โดยแสดงข้อมูลผ่านหน้าจอสี Center Display แบบ Widescreen ขนาด 8.8 นิ้ว ควบคุมผ่านปุ่ม Center Commander ที่ใช้งานได้สะดวกไม่ซับซ้อน พร้อมสร้างอารมณ์สุนทรีย์ด้วยระบบเสียงคุณภาพสูงจาก Bose รอบทิศทาง ลำโพง 12 ตำแหน่ง พร้อมหลังคาซันรูฟควบคุมด้วยไฟฟ้า ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ช่องแอร์จัดให้ครบด้านหน้า 4 ช่อง และมีช่องแอร์แยกให้สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ส่วนเบาะนั่งรูปทรงกึ่งสปอร์ต ด้านคนขับปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ได้ 2 ตำแหน่ง ตัวเบาะรองรับสรีระได้ดีทั้งแผ่นหลัง สะโพก ต้นขา ขับขี่ได้อย่างมั่นใจ ขณะที่เบาะหลังนั่งสบายใกล้เคียง MAZDA 3 โดยมีพื้นที่วางขาสบายๆ และพื้นที่เหนือศรีษะโปร่งโล่งกว่า CX-3 อย่างชัดเจน และยังเพิ่มความอเนกประสงค์ด้วยเบาะหลังแบบพับได้ 60:40 แยกอิสระจากกัน และประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าอีกด้วย
MAZDA CX-30 ถูกวางตำแหน่งให้อยู่ตรงกลางระหว่างรุ่น CX-3 และ CX-5 ส่งผลให้รถรุ่นนี้มีความคล่องตัวสูง ด้วยขนาดตัวถังกำลังดีไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป พร้อมกับตัวถังที่ยกสูงพองาม ช่วยให้มีทัศนวิสัยที่ดีกว่ารถเก๋ง ขณะที่ช่วงล่างภายใต้พื้นฐานเดียวกับ MAZDA 3 ด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังพัฒนาขึ้นใหม่เป็นแบบกึ่งอิสระทอร์ชั่นบีม เมื่อมาอยู่ใน CX-30 ที่ตัวถังสูงกว่า จึงทำการปรับเปลี่ยนโช้คอัพ และสปริงชุดใหม่ มาสด้าพยายามปรับจูนฟิลลิ่งการขับขี่ให้ใกล้เคียงกันมากที่สุด ทว่ากับไม่เหมือนขับรถยกสูง ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาจากการทดลองขับก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมไม่รู้สึกว่าตำแหน่งการนั่งอยู่สูงกว่า MAZDA 3 มากนัก การขับจะคล้ายกับรถเก๋งยกสูงนิดๆ มุมมองด้านหน้าสามารถกะระยะการมองผ่านฝากระโปรงหน้า และถนนหนทางได้อย่างชัดเจน
ด้านการทรงตัวทั้งทางตรง และการขับเข้าโค้ง ในระหว่างการขับขี่ทางไกลนอกเมือง ด้วยความเร็วที่เหมาะสม การยึดเกาะพื้นถนนทำได้แบบเนียนๆ ไม่แสดงออกถึงอาการโยนตัว หรือส่ายเซให้เสียความมั่นใจ ช่วงล่างจะเซ็ทในแนวแน่นหนึบ ผสานความนุ่มนวล ซึ่งถือว่าเหมาะสมกับบุคลิกของรถครอสโอเวอร์ของมาสด้าที่ขับขี่ได้ดุดันเร้าใจกว่าเพื่อนๆ ในประเภทเดียวกัน ในการขับเข้าโค้งลักษณะต่างๆ ยังมีตัวช่วยเสริมสมรรถนะการทรงตัว ด้วยระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง หรือ G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) ระบบนี้จะคอยแอบช่วยเราแบบเนียนๆ โดยแทบไม่รู้ตัวด้วยการปรับลดแรงบิดของเครื่องยนต์ตามการหักเลี้ยวพวงมาลัยของผู้ขับขี่ ควบคู่ไปกับการเบรกที่เหมาะสม เพื่อให้รถขับเคลื่อนไปอย่างนุ่มนวล มีเสถียรภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนของล้อทั้ง 4 ให้ดียิ่งขึ้น สามารถควบคุมรถได้อย่างเป็นธรรมชาติ ลดการแก้พวงมาลัยน้อยลง ช่วยลดความอ่อนล้าจากการขับขี่ และผู้โดยสารยังรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นจากการโคลงตัวที่น้อยลง
MAZDA CX-30 ให้สมรรถนะการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน บล๊อคยอดนิยมขนาด 2.0 ลิตร เช่นเดียวกับ MAZDA 3 ซึ่งได้รับการพัฒนาทั้งด้านสมรรถนะความแรง พร้อมประหยัดน้ำมันสูงสุด 15.4 กิโลเมตรต่อลิตร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รองรับน้ำมันได้ถึง E85 ให้กำลังสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 213 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมแมนนวลโหมด +/- ปรับเปลี่ยนเกียร์ได้เองโดยการโยกคันเกียร์ และรุ่นท็อปยังเพิ่มแพ็ทเดิลชิฟที่หลังพวงมาลัยช่วยให้ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น
สมรรถนะการขับขี่โดยรวมจะใกล้เคียงกับ MAZDA 3 กำลังของเครื่องยนต์รองรับกับขนาด และน้ำหนักรถประมาณ 1,400 กก.ได้สบาย อัตราเร่งเพียงพอต่อการใช้งาน จัดว่าทันใจตั้งแต่ออกตัว รวมถึงการเร่งแซงที่ปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงความเร็ว 90-150 กม./ชม.เร่งและลดความเร็วได้สนุกตามใจสั่ง
การส่งต่อกำลังของชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ทำได้ราบเรียบ นุ่มนวล พบอาการตัดต่อระหว่างลดหรือเพิ่มเกียร์เล็กน้อยพอให้รับรู้ ช่วงถนนโล่งลองความเร็วปลายตั้งแต่ 150 กม./ชม.ขึ้นไปไหลได้เรื่อยๆไม่ถึงกับปรี๊ดป๊าดแต่ก็ไปได้เฉียด 200 กม./ชม. ส่วนการขับขี่ใช้งานทั่วไป เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร นอกจากสมรรถนะความแรง ในด้านความประหยัดผมถือว่าใช้ได้เลย ช่วงการขับขี่ในเมืองการจราจรหนาแน่นแต่ไม่ติดหนัก ลองเซ็ทค่าเฉลี่ยจากแผงหน้าปัดดูหลายๆช่วงการเดินทาง ทำได้สบายๆ ประมาณ 12-15 กม./ลิตร ส่วนนอกเมืองใช้ความเร็วคงที่ในการเดินทางเป็นส่วนใหญ่ ความเร็วเฉลี่ย 90-120 กม./ชม.ค่าเฉลี่ยความประหยัดดีงามประมาณ 17-18 กม./ลิตร และถ้าหากเน้นขับเลนซ้ายไปแบบสบายๆ ใช้ความเร็วต่ำกว่า 90 กม./ชม.ตัวเลขความประหยัดจะทะลุเกิน 20 กม./ลิตร ไปได้อย่างเหลือเชื่อว่าเครื่องยนต์ขนาดใหญ่จะทำได้ดีขนาดนี้!
เมื่อต้องการหยุด หรือชะลอความเร็วของ CX-30 ระบบเบรกแบบดิสก์ทั้ง 4 ล้อ พื้นฐานเเดียวกับ MAZDA 3 แต่ปรับจูนน้ำหนักการเบรกให้เหมาะสมกับตัวรถ ความรู้สึกในการเบรกช่วงความเร็วต่ำทำได้ดี มีสมดุลย์เบรกนุ่มหน้าไม่ทิ่ม แต่ช่วงความเร็วสูงต้องลงน้ำหนักเท้าลึกหน่อย เมื่อเบรกเริ่มจับแล้ว ก็สามารถยับยั่งความเร็วได้ดีไม่มีปัญหา
MAZDA CX-30 รุ่นท็อป ยังมาพร้อมความปลอดภัยขั้นสูงด้วยเทคโนโลยี i-ACTIVSENSE ที่ได้รับการคิดค้น และพัฒนาโดยเน้นการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุมากถึง 12 ระบบ อาทิ ระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทาง , ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring) , ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert , ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ MRCC (Mazda Radar Cruise Control) , ระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า CTS (Cruising & Traffic Support) , ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติแบบ Advance หรือ Advanced SBS (Advanced Smart Brake Support) , ระบบช่วยเบรกและหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SBS-R (Smart Brake Support-Reverse) , ระบบช่วยหยุดรถเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง SBS-RC (Smart Brake Support-Rear Crossing) , ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ALH (Adaptive LED Headlamps) , ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LAS (Lane-keep Assist System) , ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS (Lane Departure Warning System) และระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DAA (Driver Attention Alert)
MAZDA CX-30 ถือเป็นซุปเปอร์โมเดลในกลุ่มของรถอเนกประสงค์จาก มาสด้า ประเทศไทย เป็นพระเอกตัวจริงที่คอยผลักดันสู่การเป็นผู้นำตลาดรถครอสโอเวอร์เอสยูวีที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทุกรูปแบบชีวิต ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พิสูจน์ว่ามาสด้ามาถูกทาง เพราะตลาดรถประเภทนี้ในตลาดโลกและเมืองไทยมีแนวเน้นที่ดีกว่ารถเก๋ง หรือรถยนต์นั่งรูปแบบอื่นค่อนข้างชัดเจน
ราคาจำหน่าย MAZDA CX-30 ปี 2022
– MAZDA CX-30 รุ่น 2.0 C ราคา 989,000 บาท
– MAZDA CX-30 รุ่น 2.0 S ราคา 1,099,000 บาท
– MAZDA CX-30 รุ่น 2.0 SP ราคา 1,199,000 บาท